 |
 |
#19# - 400199 |
![[icon-addtodelete : 101 bytes]](img/icon-delete.gif) |
 |
![[member icon]](icon/1b.gif) |
 |
ข้อมูลเรื่องกบฏเมษาฮาวาย ปี 2524 จากบีบีซี
๒๕๒๔ เมษาฮาวายได้ข่าวเพราะตรวจสอบ
กรณีเหตุการณ์ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ มีความสับสนในระยะแรกที่ประชาชนไม่ได้รับข่าวสารอันเป็นข้อเท็จจริงอย่างทั่วถึง มีการบอกเล่าว่าเป็นข่าวตลกแบบเดียวกับฝรั่งใช้วันที่ ๑ เมษาฯ มาโกหกกัน (April Fool) แต่ต่อมาไม่กี่โมงก็มีรายงานว่าเกิดการยิงกัน และมีรายงานข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ถูกผู้ก่อการยึดว่า
คณะนายทหารนำโดยพลเอก สัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้ยึดอำนาจการปกครองจากพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารบก ยุบรัฐสภา ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้พลเอก เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด และที่ปรึกษาคณะปฏิวัติ พร้อมกับประกาศว่า พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารบกแล้ว
ความสับสนและสงสัยมีเพิ่มขึ้นจากการที่ไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีอยู่ที่ไหน ถูกผู้ก่อการจับไว้หรือไม่ เพราะไม่ชัดเจนในรายงาน เรามีผู้สื่อข่าวของเราที่กรุงเทพฯ แล้วเรายังมี Monitoring Service (บริการตรวจสอบข่าวสาร) ที่ทำร่วมกับอเมริกา คอยติดตามการรายงานข่าววิทยุและโทรทัศน์ทั่วโลก เรื่องนี้ผู้สื่อข่าวของเราได้ยินข่าวจากสถานีวิทยุที่โคราช แต่เบามาก รายงานว่าขณะนี้ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระราชวงศ์ มาประทับอยู่ที่ค่ายทหารในจังหวัดนครราชสีมา จนกว่าสถานการณ์ในกรุงเทพฯ จะมีความชัดเจนมากขึ้น บีบีซีออกอากาศทันที ผู้ฟังคนหนึ่งเขียนมาบอกในตอนหลังว่า ผมก็เดินเข้าไปในที่ประชุมสมาคมสถาปนิกสยาม บอกบีบีซีรายงานว่า พล.อ. เปรม ฯ ไปอยู่ที่โคราชแล้ว วงแตกเลย ตายละซี เดี๋ยวเกิดยิงกันขึ้นมา แล้วทำอย่างไร กลับบ้านแล้ว ไม่ประชุมต่อ นายอรรถพล วรรณนุรักษ์ บอกเล่าเรื่องนี้กับ ***คอนนิวส์ ที่บินไปสัมภาณ์พิเศษถึงลอนดอนเมื่อครั้งยังเป็นหัวหน้าแผนกไทย
แม้จะไม่สามารถยืนยันว่าข่าวที่บีบีซีภาคภาษาไทยรายงาน ทำให้เหตุการณ์พลิกผัน เพราะสถาบันสูงสุดได้รับการถวายอารักขาอยู่ในที่ปลอดภัย และนายกรัฐมนตรีไม่ได้ถูกจับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลจากการรายงานข่าวนี้ ทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้เกี่ยวข้องในการนำความสงบให้กลับคืนมาโดยเร็ว
ความล้มเหลวในการทำรัฐประหารครั้งนี้จึงถูกเรียกว่า เมษาฮาวาย
๒๕๒๕ ปีแห่งสถานการณ์บีบีซีวิเคราะห์ทวนกระแส
หลังเหตุการณ์ เมษาฮาวาย ปีถัดมามีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตลอดปี อาทิ การระเบิดศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๕ มีผู้เสียชีวิต ๕ คน บาดเจ็บ ๕๓ คน การขว้างระเบิดในสนามมวยลุมพินีเมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๒๕ มีผู้เสียชีวิต ๖ คน การตรวจค้นเรือสินค้าเมื่อ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๕ พบระเบิด ๒๐๐ ลัง น้ำหนักรวม ๗.๒ ตัน การขว้างระเบิดใส่ราษฎรที่หน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานีเมื่อ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๕ มีผู้เสียชีวิต ๒ คน บาดเจ็บ ๔๐ คน
แต่มีกรณีที่เป็นข้อสังเกต คือการขว้างระเบิด M 26 ใส่บ้านพักพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่สี่เสาเทเวศร์เมื่อ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๕ การระเบิดอาคารกระทรวงกลาโหมเมื่อ ๙ กันยายน ๒๕๒๕ มีผู้บาดเจ็บ ๖ คน และการวางระเบิดบริเวณห้องพักผู้โดยสารท่าอากาศยานกรุงเทพเมื่อ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๘ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดกองทัพอากาศสามารถ***้ไว้ได้
...สื่อมวลชนในประเทศสงบปากสงบคำไม่ค่อยเสนอข่าว มีแต่บีบีซีที่รายงานเรื่องนี้ โดยเรากล่าวเป็นนัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าว อาจจะเป็นผลมาจากการช่วงชิงอำนาจกันเองภายในกองทัพบก การรายงานข่าวนี้เอง ทำให้เกิดอาการเหมือนกับระเบิดลงบีบีซี เพราะบีบีซีได้รับทราบข่าวว่า มีนายทหารระดับสูงบางคนตอบโต้การรายงานที่เพียงแค่พูดเป็นนัย ๆ ที่ว่านี้ ด้วยการขู่ว่าจะเอาบรรดาพนักงานของแผนกไทยทั้งหมดขึ้นศาลในข้อหาขายชาติ หรือไม่ก็จะให้ถอนสัญชาติไทยเสีย ตามมาด้วยคำขู่เอาชีวิตพนักงานของแผนกไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งตัวดิฉันเองด้วย แต่ดิฉันก็ยังเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๒๕ และไม่มีอะไรเกิดขึ้น... นางจูดี สโตว์ อดีตหัวหน้าแผนกไทย กล่าวถึงเรื่องราวขณะยังทำหน้าที่นักวิเคราะห์ ในหนังสือ ๖๐ ปี บีบีซีภาคภาษาไทย
๒๐ กันยายน ๒๕๒๕ ตำรวจจับกุมจ่าสิบเอก นพดล มโนนุ***ล ผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดกระทรวงกลาโหม อดีตนายทหารชั้นประทวนผู้นี้เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพันเอก ประจักษ์ สว่างจิตร บุคคลสำคัญในการก่อความไม่สงบจากเหตุการณ์ เมษาฮาวาย อันเป็นคำตอบในการเสนอข่าวที่มีนัย (significant) ของบีบีซีเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย
๒๕๒๘ กบฎ ๙ กันยาลดความสับสนสองฝ่าย
๙ กันยายน ๒๕๒๘ มีข่าวออกทางสื่อวิทยุกระจายเสียงในประเทศว่า คณะทหารนำโดยพลเอก เสริม ณ นคร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ความพยายามในการยึดอำนาจครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างก็มีสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์อยู่ในมือ คนไทยทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัดเกิดความสับสนค่อนข้างมาก และยังทำให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ๒ คน ซึ่งเข้าไปรายงานข่าวในพื้นที่ บริเวณหน้ากองบัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ ถูกกระสุนของสองฝ่ายที่ยิงกันเสียชีวิต จากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ๕ คน บาดเจ็บ ๕๙ คน โดยพลเอก เสริม ณ นคร พลเอก ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ แจ้งภายหลังว่าถูกขู่บังคับจากคณะผู้ก่อการ คือ พันเอก มนูญ รูปขจร อดีตผู้ก่อความไม่สงบในเหตุการณ์ เมษาฮาวาย
เหตุการณ์นี้ นางจูดี สโตว์ อยู่ในเมืองไทยพอดี ในขณะที่การติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ทางไกลระหว่างกรุงเทพกับลอนดอนดีขึ้นกว่าในอดีต บีบีซีภาคภาษาไทยจึงสามารถรายงานเหตุการณ์ด้วยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้เต็มที่ และยังเป็นสื่อนำ เพราะมีผู้สื่อข่าวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยในตอนนั้นเพียงคนสองคนเท่านั้น
ผมไปเจอตัวละครอีกท่านหนึ่ง กรณีเมษาฮาวาย ดังนี้ครับ
ร.ต.อ.เฉลิม เริ่มต้นชีวิตการเมืองเมื่อปี 2526 หลังได้รับการนิรโทษกรรมในคดีก่อรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (กบฎ เมษาฮาวาย ปี2524) แล้วลงสมัครส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกเป็นส.ส.กทม. จากนั้นเกิดความขัดแย้งในพรรค จึงได้ไปก่อตั้งพรรคของตัวเองชื่อ พรรคมวลชน เมื่อปี 2529 เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อ 24 กรกฎาคม 2531 ในสมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในตำแหน่งรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ดูแลองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย(อ.ส.ม.ท.) ที่มีเรื่องฉาว ๆ อาทิ เรื่องคอรัปชั่น กรณีลิตเติ้ลดั๊ก เรื่องทหารยึดรถโมบายล์ของ อ.ส.ม.ท.ที่ไปดักฟังเครือข่ายการสื่อสารของทหาร จนได้รับฉายาว่า "เหลิม ดาวเทียม" หลังจากนั้นลี้ภัยไปอยู่เดนมาร์กระยะหนึ่ง ช่วงการปฎิวัตรของรสช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534
ผมไปเจอข้อเขียนของ ขจร อิสระ เขียนไว้เมื่อ 2546 ดังนี้ครับ
."...หลังจากการถึงแก่อนิจกรรมอย่างมีเงื่อนงำของ พล อ. กฤษณ์ สีวะรา กรณีรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงภายในโรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้าฯ ในขณะที่ พล อ. กฤษณ์ เพิ่งเพิ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง รมว. กลาโหม ในรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ ขั้วอำนาจ ทางการทหาร เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ค่อนข้างรุนแรง และนำไปสู่เหตุการณ์ เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ด้วยกำลังอำนาจอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2519 กรณีที่จำกันได้ติดตาติดใจ คือ จอมพล ถนอม กิตติขจร เดินทางกลับประเทศไทยด้วยสถานะสามเณร และเหตุการณ์พัฒนา ไปจนถึง การสังหารหมู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ การจัดตั้งรัฐบาลหอย ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเปรียบเทียบรัฐบาลคือตัวหอย ฝ่ายทหารเป็นเปลือกหอย วางแผนจะอยู่ในอำนาจการเมืองแบบเป็นขั้นเป็นตอน 12 ปี แต่อยู่ไม่ถึง ถูกเปลือกหอยกินตัวหอยเสียก่อน โดยกรณียึดอำนาจจากคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดินด้วยการนำของประธานฯ พล ร.อ. สงัด ชลออยู่
ในช่วงนี้หลังจากสิ้นพล อ. กฤษณ์ สีวะรา แล้วได้มีการสถาปนา กลุ่มทหารศึกษาการเมืองตามวิถีทางไทยขึ้นมาในนามกลุ่มทหารหนุ่ม หรือ ยังเตอร์ก โดยการนำกลุ่มของนายทหารหนุ่มหลายระดับในขณะนั้น รวมตัวกันหลายรุ่นหลายเหล่า โดยแกนนำหลัก นำโดย จปร.7 อาทิเช่น พันโท มนูญ รูปขจร, พันโท ประจักร สว่างจิตร, พันโท จำลอง ศรีเมือง, พันโท พัลลภ ปิ่นมณี, พันโท ชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล, พันโท บุลศักดิ์ โพธิเจริญ, พันเอก นานศักดิ์ ข่มไพรี, พันโท ม.ร.ว. อดุลยเดช จักรพันธ์, พันตรี บุญยัง บูชา, พันตรี สุทิน เชียงทอง, พันตรี รณชัย ศรีสุวรนันท์ ,พันตรี สุรพล ชินะจิตร ฯลฯ ยังเตอร์กเริ่มติดอาวุธทางปัญญาเพิ่มมากขึ้น มีการเชื้อเชิญ ผู้รอบรู้ทางสาขาวิชาต่างๆหลายๆวงการเป็นการภายใน เข้าไปให้ทัศนะบทเรียนต่างๆต่อกลุ่มทหารหนุ่ม
... 26 มีนาคม 2520 เกิดการ รัฐประหารโดยการนำของ พล อ. ฉลาด หิรัญศิริ เลขาธิการฯชื่อ พันโท สนั่น ขจรประศาสน์ แต่ล้มเหลว กำลังหลักของการยับยั้ง รัฐประหารครั้งนั้น คือ กลุ่มทหารหนุ่ม ยังเตอร์กที่มี พันโท มนูญ รูปขจร เป็นผู้นำ และมีชื่อ พันโท ประจักร สว่างจิตร ซึ่งถูกเรียกตัวมาจากภาคเหนือให้เป็นผู้บัญชาการฯในการปราบรัฐประหารครั้งนั้น ณ กรุงเทพมหานคร พล อ. ฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตด้วย มาตรา 21 พันโท สนั่น พร้อมพรรคพวกหลายคนถูกจองจำในคุกลาดยาว
... หลังจากเกิดเหตุการณ์ ปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฆ่าหมู่ใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษา ประชาชน หลบหนีภัยเข้าป่าไปร่วมกับกองกำลัง พ.ค.พ. ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน เหตุการณ์การเมืองพัฒนาไปจน พล อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ยังเตอร์กเป็นกำลังหลักและกุนซือสำคัญให้กับ พล อ. เกรียงศักดิ์ ขณะนั้น และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมทางการเมืองครั้งใหญ่ ทำให้ประชาชนนิสิต นักศึกษา ต่างหลั่งไหลกลับเข้าสู่เมือง และสถาบันการศึกษาเป็นระยะๆ คนป่าคืนเมืองเหล่านี้ในปัจจุบันนี้ต่างก็เป็นกำลังหลักให้กับสังคมไทยโดยต่างกรรมต่างวาระกัน กระจายกันอยู่ตามองคาพยพของสังคมไทย ทั้งนักวิชาการ, นักบริหารธุรกิจ, นักการเมือง และสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆ
ดังนั้นจึงอยากจะบันทึกไว้ว่านี่คือความสง่างามของยังเตอร์ก กลุ่มทหารหนุ่มในขณะนั้น ซึ่งมีผู้นำชื่อ พันโท มนูญ รูปขจร ที่มองการณ์ไกล วางแผนชักนำให้บุคคลเข้ามาร่วมพัฒนาชาติร่วมกันในที่สุด
... 31 มีนาคม-3 เมษายน 2524 ในห้วงเวลาที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล อ. เปรม ติณสูลานนท์ เกิดเหตุการณ์ เมษาฮาวาย ยังเตอร์กปฏิวัติด้วยกำลังรบหลักไม่ต่ำกว่า 48 กองพัน ผนวกกับ การสนับสนุนในภาคประชาชนพอสมควร ลงเอยด้วยการก้าวถอยของฝ่ายก่อการ ด้วยเหตุผลหลักคือไม่ต้องการเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มทหารเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน และต้องการให้เกิดความสงบภายในประเทศ พันเอก มนูญ รูปขจร ในขณะนั้น ชีวิตทางการเมือง การทหาร ตกต่ำถึงขีดสุด ถูกปลด ถูกถอดยศ ถูกบังคับ เนรเทศ จนในที่สุด ความสง่างามของชีวิต กลับมาอีกครั้งหนึ่งด้วยการได้รับพระราชทานอภัยโทษ และนิรโทษกรรมทางการเมือง และได้รับการคืนยศเฉกเช่นเดิม
เมื่อสิ้นสุดรัฐบาล พล อ. เปรม พล อ. ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา ได้จัดส่งบุคคลพร้อมเทียบเชิญให้กลับเข้าสู่ประเทศไทย ในขณะที่พำนักอยู่ในประเทศเยอรมันนีพร้อมครอบครัว ได้รับพระราชทานยศ พลตรี ในตำแหน่ง เลขานุการ รมว.กลาโหม ความสง่างามในขณะนั้นคือการได้รับความยอมรับ จากรัฐบาลชาติชาย และถูกมอบหมายงานในภารกิจสำคัญ ด้านความมั่นคงหลายประการ จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์ ร.ส.ช. ขึ้นมา โดยการนำรัฐประหารของ พล อ. สุนทร คงสมพงษ์, พล อ. สุจินดา คราประยูร ฯลฯ พลตรี มนูญ รูปขจร ต้องลี้ภัยรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งด้วยข้อหาฉกรรจ์
... พฤษภาคม 2535 ในรัฐบาล พล อ. สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬการต่อสู้ของภาคประชาชน โดยการนำของ พล ต. จำลอง ศรีเมือง กดดันจนในที่สุดรัฐบาลในขณะนั้นต้องล่มไปด้วยอายุเพียง 47 วัน
พล ต. มนูญ กลับเข้าสู่คดี ภายใต้ศาลทหารในกรณีคดีลอบสังหาร ผลที่สุด ศาลทหารพิพากษายกฟ้องไม่มีมูลความผิด เป็นที่สิ้นสุดคดีความ ครั้งนี้ถือเป็นความสง่างามของชีวิตครั้งใหญ่ ประชาชนโดยทั่วไปได้ทราบอย่างแน่ชัดว่า จำเลยคือ พล ต. มนูญถูกกลั่นแกล้งใส่ความจากผู้มีอำนาจในขณะนั้น
... พล ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งเป็นซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเหล่าทหารม้าวัยเดียวกัน ชักนำเข้าไปสู่ภาคการเมืองระบบพรรคในพรรคประชาธิปัตย์ พล ต. มนูญ มักประกาศเสมอว่าเข้ามาช่วยเพื่อน และช่วยเหลือส่วนตัว ต่อ พล ต. สนั่น ซึ่งอาจแปลได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ สมัยนายชวน หลีกภัยเป็นผู้นำ ไม่สนับสนุน หรือยอมรับโดยเด่นชัด(เพราะอะไร? ผู้มีปัญญาทางการเมืองกรุณาไตร่ตรองแล้วจะทราบ)"
อ่านชื่อตัวละครให้ดีครับ
ลำดับเหตุการณ์คดี 'ลอบสังหาร'
หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 1-3 เมษายน 2524 ภายใต้การนำของ พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร และ พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งเป็นนายทหาร จปร.รุ่น 7 หรือกลุ่มยังเติร์ก ประสบความล้มเหลว ยังเติร์กกลุ่มนี้ต่างแยกย้ายลี้ภัยไปต่างประเทศ อีก 1 ปีถัดมากลุ่มที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับยังเติร์ก ได้แก่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารบก ประสบเหตุการณ์ 'ลอบสังหาร' เป็นระลอกๆ และไม่เพียงเฉพาะบุคคลทั้งสอง หากยังมีรายงานระบุว่า ได้มีการตระเตรียมการที่จะลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อีกด้วย
รายละเอียดมีดังต่อไปนี้
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 6-7 มีนาคม 2525 กลุ่มยังเติร์ก ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ในงานยกช่อฟ้า วัดจิระ อ.เมือง จ.ลพบุรี แต่ไม่สำเร็จ
ครั้งที่ 2 วันที่ 8-25 มีนาคม 2525 กลุ่มยังเติร์กกับพวก วางแผนลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ขณะเดินทางไปเยี่ยมท่าน ผู้หญิงประภาศรี กำลังเอก ซึ่งป่วยและรักษาอยู่ใน โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แต่ล้มเหลวอีกครั้ง
ครั้งที่ 3 วันที่ 5 พฤษภาคม 2525 กลุ่มทหารยังเติร์กกับพวก ใช้รถบรรทุกระเบิดไปจอดที่หน้าโรงเรียนพณิชยการสันติราษฎร์ในเส้นที่ทาง พล.อ.อาทิตย์เดินทางผ่าน ไปทำงาน เพื่อลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ โดยใช้คลื่นวิทยุบังคับจุดระเบิด แต่รถได้เกิดระเบิดขึ้นก่อนที่ พล.อ.อาทิตย์จะผ่านไป
ครั้งที่ 4 วันที่ 3 มิถุนายน 2525 กลุ่มนายทหารยังเติร์กกับพวก ได้วางแผนลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ขณะไปทอดกฐินที่วัดแก้วนิมิตร อ.เมือง จ.ลพบุรี แต่ไม่สำเร็จ
ครั้งที่ 5 วันที่ 14-16 กรกฎาคม 2525 กลุ่มทหารยังเติร์กกับพวก วางแผนลอบสังหาร พล.อ.เปรม ขณะเดินทางไปเป็นประธานเปิดอนุสาวรีย์จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ อ.เมือง จ.ลพบุรี แต่กระสุนจรวด 66 เอ็ม -72 พลาดเป้าหมายไปเพียงเล็กน้อย
ครั้งที่ 6 วันที่ 1 ตุลาคม 2525 กลุ่มยังเติร์ก ตระเตรียมการที่จะลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลควีนสคัพ ที่สนาม กีฬาแห่งชาติ
ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2525 กลุ่มยังเติร์กและพวก วางแผนลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ขณะเดินทางไปทอดกฐินที่วัดหน้าพระเมรุ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ไม่สำเร็จ
ครั้งที่ 8 วันที่ 20 ตุลาคม 2525 กลุ่มยังเติร์กได้วางแผนลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ พล.อ.เปรม และตระเตรียมการลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพิธีปิดการแข่งขันฟุตบอลควีนสคัพ ที่สนามกีฬาแห่งชาติ กทม.
ครั้งที่ 9 วันที่ 31 ตุลาคม 2525 กลุ่มยังเติร์ก ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ซึ่งจะเดินทางไปทอดกฐินที่วัดศรีสุทธาวาส อ.เมืองเลย แต่ไม่สำเร็จ
หลังเกิดเหตุการณ์ระหว่างปี 2525 กองทัพบกด้วยการประสานงานกับกรมตำรวจ แต่งตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วย พล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์ และคณะ ร่วมกับฝ่ายทหาร มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐอย่างกว้างขวาง พบว่ากลุ่มบุคคลหมายถึงกลุ่มทหารที่ชื่อว่ายังเติร์กบางคน และกลุ่มผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์และกลุ่มบุคคลอื่น ได้ร่วมกันคบคิดทำร้าย หรือพยายามฆ่า การสืบสวนและสอบสวนได้ผล สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ลอบยิง พล.อ.เปรมได้รวม 3 คน คือ จ่าสิบเอกอมรศักดิ์ ยินดีโชติ จ่าสิบเอกประเวศ พุ่มพ่วง และสิบเอกสุพัฒน์ ทองสุกผ่อง จ่าสิบเอกอมรศักดิ์รับสารภาพ ศาลทหารพิพากษาลงโทษจำคุก 25 ปี ส่วน จ่าสิบเอกประเวศและสิบเอกสุพัฒน์ให้การกันไว้เป็นพยาน
23 ก.พ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. เผยแพร่ภาพคำสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ โพธิเจริญ ส.ส.สิงห์บุรี พรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งใน ผู้ต้องหาร่วมกับ พล.ต.มนูญ รูปขจร ในคดีลอบสังหาร ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ โดย พ.อ.บุลศักดิ์ ยอมรับความผิดที่ก่อขึ้นพร้อมทั้งแฉว่า พล.ต.มนูญ เพื่อนร่วมรุ่น เป็นบุคคลที่ชอบหักหลังและทรยศ มีความทะเยอทะยานต้องการให้ตัวเองเป็นใหญ่ จากนั้น พ.อ.บุลศักดิ์ มอบตัวกับ พล.ต.ท.บุญชู ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ
30 ธ.ค. 2536 ศาลอาญายกฟ้องนายมนูญ รูปขจร(ถูกถอดยศ) โดยศาลวินิจฉัยว่านายมนูญไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ส่วนกรณีที่พยานโจทก์ปากสำคัญ คือ พ.อ.บุลศักดิ์ โพธิเจริญ เมื่อมีการนำสืบปรากฏว่า พ.อ.บุญศักดิ์เบิกความเพียงว่า เป็นเพื่อนของจำเลยเท่านั้นและไม่ได้เข้าเบิกความอีกเลยจนศาลต้องตัดพยานปากนี้ไป ทำให้วิดีโอเทป บันทึกคำให้การของ พ.อ.บุลศักดิ์ ไม่มีน้ำหนัก
ในปี 2537 พล.ต.ต.เสรี เตมียเวส ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีลอบสังหาร ในสมัยที่ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมตำรวจ แฉเบื้องหลังคำสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ในช่วง รสช.ล้มรัฐบาล 'พล.อ.ชาติชาย' เป็นการสร้างหลักฐานเท็จหลอกลวงประชาชน
ขณะเดียวกัน พล.ต.มนูญตั้งทนายฟ้องกลับ พล.ต.บุญชู วังกานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจและนายตำรวจชุดสอบสวนคดีลอบสังหาร ฐานสร้างหลักฐานเท็จ
ก.พ. 2538 พล.ต.มนูญ เข้ามาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าเบิกความต่อศาลระบุว่า พล.ต.อ.บุญชูและนายทหาร จปร.รุ่น 5 ร่วมกันบิดเบือนคดีลอบสังหารโดยบิดเบือนถ้อยคำให้การของพยานปากสำคัญ 'พ.อ.บุลศักดิ์' ขณะบวชเป็นพระ ให้เป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม พล.ต.อ.บุญชู
ในปี 2541 พล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ส.ส.ลพบุรี พรรคความหวังใหม่ เข้าร้องเรียนกรรมาธิการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯ ขอให้ตรวจ สอบความยุติธรรมในคดีลอบสังหาร อีกทั้งยังกล่าวหาว่า พล.ต.ท.เสรี เตมียเวส นำสำนวนคดีมาเปิดเผยต่อสาธารณชนถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
หมายเหตุเจ้าของกระทู้:
1).พล.ต.ท. บุญชู วังกานนท์ คือคนที่จับกุมแชร์แม่ชม้อย
2). พล.ต.ต. เสรี หรือ เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวศ ตอนนี้ท่านกำลังจับบ่อนทั่วประเทศรวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพลหลาย ๆ เจ้าชนิดไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น จนกระทั่ง เสธ. คนดัง ต้องไปแจ้งความที่ สน.พญาไทเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
3). พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ แจ้งความหมิ่นประมาทนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีหมิ่นประมาท
เส้นทาง สู่ อำนาจ เส้นทาง ทหาร การเมืองเส้นทาง สัณห์ จิตรปฏิมา
(หมายเหตุเจ้าของกระทู้ พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา คือหัวหน้ากบฏเมษาฮาวาย 2524)
คอลัมน์ หักทองขวาง
ระหว่าง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร กับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มีทั้งความเหมือนและความต่างกันที่มีผลต่อสถานการณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 เป็นอย่างสูง
เหมือนตรงที่เป็นนักเรียนจปร.รุ่น 7 เช่นกัน
เหมือนตรงที่ทั้ง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เป็นคนพูดน้อยและพูดน้อยอย่างยิ่ง
แต่ในการพูดน้อยของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร มากด้วยปมชวนให้คิด
ขณะเดียวกัน ภายในการพูดน้อยของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี กลับดำเนินไปอย่างโผงผาง ดุเดือด
ดุเดือด ตรงไปตรงมา
การศึกษาแต่ละคำบอกเล่าของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี จึงน่าสนใจพอๆ กับการศึกษาแต่ละคำบอกเล่าของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร
เพียงแต่ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ไม่กล่าวถึงเรื่องราวในวันที่ 1 เมษายน 2524 มากนัก
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เล่าเรื่องราวได้มากกว่า
โปรดอ่าน
พอประมาณตี 5 พ.อ.เชาว์ คงพูลศิลป์ มาขอพบผม ท่านก็เรียกชื่อเก่าผมว่า "ไอ้นาจ" ผมก็ถาม "มีอะไรหรือพี่"
ท่านก็บอก "ไอ้นาจ ในหลวงรับสั่งให้พลเอกสัณห์เข้าเฝ้าฯ"
ผมก็พาพี่ไปคุยกับ พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา เขาก็หายเข้าไปคุยกันพักใหญ่ สักพักที่เขาเดินออกมาบอก
"เฮ้ย พลเอกสัณห์ไม่ยอมไปว่ะ"
ผมเดินเข้าไปหา พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา "ทำไมท่านไม่เข้าเฝ้าฯ มีรับสั่งให้เข้าเเฝ้าฯ ท่านควรจะเข้าเฝ้าฯ"
พ.อ.มนูญ รูปขจร ที่นั่งอยู่ด้วยบอก "ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เดี๋ยวให้เรื่องเรียบร้อยก่อนค่อยเข้าเฝ้าฯ"
พอได้ฟังแบบนั้นผมก็ไม่ติดใจอะไร
6 โมงเช้า พ.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ามาขอพบผม พ.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อยู่กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำตัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และผมกับ พ.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ สนิทกัน
ผมก็ถาม "แอ๊ดมาทำไม"
เขาบอกว่า "ในหลวงรับสั่งให้พลเอกสัณห์เข้าเฝ้าฯ"
ผมก็พา พ.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้าไปพบอีก พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา ก็ไม่ยอมไป ตอนหลังผมยัวะเลยถาม
"ท่านกลัวหรือ ทำไมไม่เข้าเฝ้าฯ งั้นผมไปด้วยถ้าท่านกลัว"
พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา บอก "ไม่มีอะไร" พ.อ.มนูญ รูปขจร ก็บอก "ไม่มีอะไร"
ครานี้ปมแห่งสถานการณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 จึงค่อยคลี่ตัวเองออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะสถานการณ์จากที่ประชุมแกนนำผู้ก่อการในกองบัญชาการคณะปฏิวัติในวันที่ 2 เมษายน 2524
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เล่าเหตุการณ์ตอนนี้ว่า
"พ.อ.มนูญ รูปขจร เรียกประชุมแกนนำทั้งหมดในประเด็นที่ว่า ทางโน้นเสนอให้ส่งตัว พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา แล้วทุกอย่างจะยุติ
"ผมก็ถามในที่ประชุมว่า "ในการปฏิวัติครั้งนี้ท่านชวนเราหรือว่าเราชวนท่าน"
"ทาง พ.อ.มนูญ รูปขจร เขาก็บอกว่า "เราชวนท่าน"
"ผมจึงบอกว่า "ถ้าเราชวนท่าน มันไม่ได้ ผมไม่ยอมเด็ดขาดและเหตุการณ์ครั้งนี้ผมไม่รู้ด้วย แต่ว่าผมไม่ยอม"
นั่นก็คือ คำตอบที่ว่าใครเป็นผู้จัดประกายในเรื่องการปฏิวัติ
นั่นก็คือ ไม่ใช่ทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา เป็นผู้จุดประกายในเรื่องการปฏิวัติ
คำว่า "เราชวนท่าน" ที่ออกจากปาก พ.อ.มนูญ รูปขจร อาจหมายถึง พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา กระนั้น หากย้อนกลับไปพิจารณาจากคำบอกเล่าของ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ถึงสภาพในบ้านสี่เสาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2524 ความเป็นจริงก็เป็นที่ประจักษ์
เป็นที่ประจักษ์ว่าคำว่า "เราชวนท่าน" ที่ออกจากปาก พ.อ.มนูญ รูปขจร ย่อมหมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วย
เพียงแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่เอา ขณะที่ พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา เอา... "
อ่านแล้วก็เอาไปวิเคราะห์เองนะครับ
สำหรับน้อง ๆ หนู ๆ เด็กเพิ่งเกิดใหม่อยากจะรู้ความหมายของคำว่า ยังเติร์ก คืออะไร ผมไปพบความเห็นนี้เข้า ขออนุญาตนำมาตัดแปะครับ เขาเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2546 บังเอิญผมเจอในเว็บของ yingthai-mag.com
"...ชื่อยังเติร์กเลยเป็นที่นิยมในการเรียกนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความคิดทางการเมือง ซึ่งในไทยช่วงนั้น นายทหาร จปร.รุ่น 7 ที่มี พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.จำลอง ศรีเมือง พ.อ.ประจักต์ สว่างจิตรเป็นแกนนำ และมีบทบาทมาตั้งแต่หลัง 14 ตุลา 16 (หรือในเหตุการณ์ด้วยก็ไม่ทราบเพราะไม่มีใครออกมายืนยันนอกจากเอกสารแสดงความคิดเห็นบางแหล่ง เช่น กังหันต้องลม ที่พยายามจะกล่าวถึง พล.ท.วิฑูร ยะสวัสดิ์ ว่าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย ซึ่ง จปร.7 ส่วนใหญ่จะเป็นทหารที่เข้าร่วมรบในลาวที่มี พล.ท.แม้ว ผู้นี้เป็นผู้นำ)
ภายหลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.16 จปร. 7 เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำนายทหารระดับคุมกำลัง (กองพัน) ซึ่งขณะนั้น จปร. 5 ซึ่งเป็นคู่กัดตลอดกาลกำลังเซ อันเนื่องมาจาก พ.อ.ณรงค์ กิติขจร ซึ่งเป็นหัวขบวนรุ่น 5 ต้องระเห็จไปนอกตาม 2 จอมพลไปด้วย
จปร. 7 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบที่สำคัญและได้รับการกล่วขวัญถึงความกล้าหาญในหมู่ทหารหลายครั้ง เช่น พ.อ.จำลอง ในสมรภูมิภูผาที ฐานเรดาห์ของซีไอเอในลาวที่ถูกทหารเวียดนามเหนือตีแตก (จากบันทึกของซีไอเอ ระบุว่าทหารรบพิเศษของไทยไม่ได้ปะทะกับข้าศึกสักเท่าไร เมื่อเทียบกับทหารม้งของวังเปาและซีไอเอเอง ขณะที่ พ.อ.จำลองถึงกับบันทึกไว้ในประวัติชีวิตของตนเองว่า ถ้าเป็นสงครามที่เปิดเผยเขาจะต้องได้เหรียญซิลเวอร์ สตาร์ ซึ่งเป็นเหรียญกล้าหาญขั้นสูงของสหรัฐจากสมรภูมินี้ไปแล้ว ไม่รู้ข้อมูลใครแม่นกว่ากัน)
นอกจาก พ.อ.จำลองแล้วก็มี พ.อ.มนูญ รูปขจร ที่ว่ากันว่าผู้พันแห่ง มพัน 4 ท่านนี้กล้าหาญยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อต้องนำกำลังรถถังเข้าปะทะกับทหารเวียดนามแถว ๆ ชายแดนเขมรบ้านเรานี่เอง ซึ่งปกติแล้วผบ.รถถังเมื่อนำเข้าปะทะข้าศึกจะปิดฝาเข้ามาในตัวรถ แต่ พ.อ.มนูญ จะไม่เคยเข้ามาเลย ใชช้วิธียืนบัญชาการอยู่ตลอดเวลาของการสู้รบ ทำให้ได้รับการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชามาก
ส่วน พ.อ.ประจักต์ ก็ไม่น้อยหน้า แค่สมญานาม วีรบรุษแห่งตาพระยา ก็เป็นเครื่องการันตีได้แล้ว วีรกรรมที่โด่งดังมากที่สุดเห็นจะได้แก่กรณีที่พี่ท่านหอบเอาลังใส่ระเบิดมือเดินเข้าทำเนียบรับบาลเพื่อขอเข้าพบ มรว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
พ.อ.จำลอง (และ จปร.7) เข้าร่วมในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ด้วยจากคำบอกเล่าบนเวทีหาเสียงของนางจงกล ผู้สมัครคนหนึ่งของพรรคพลังธรรม ดันไปพูดหาเสียงว่ารู้จักกับ พ.อ.จำลองมาตั้งแต่ 6 ตุลา โดยเห็นว่า พ.อ.จำลองปลอมตัวไปปะปนกับลูกเสีอชาวบ้านที่ท่ชุมนุมที่พระรูปทรงม้า กรรมจริง ๆ หารู้ไม่ว่านี่เป็นภารกิจที่เป็นรอยด่างที่สุดในชีวิตของ พ.อ.จำลอง สงสัยไม่ได้เตี๊ยมกันมา แม่คุณจึงเล่าไปอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าพลาด ก็พบว่าเรื่องของตัวเองเป็นข่าวพาดหัว นสพ.รายวันทุกฉบับในเช้าวันรุ่งขึ้นไปซะแล้ว.."
22 ธ.ค.44 - พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความเห็นกรณี น.พ.ประเวศ ขอให้ตนฉลาดกว่านี้เรื่องการแก้ปัญหา สธ.ว่าปัญหาใน ก.สาธารณสุข หมักหมมมานาน
ตนก็รู้ น.พ.ประเวศก็รู้ว่าปัญหามีมากกว่านั้น แต่ขณะนี้ต้องแก้ปัญหาให้คนที่ทำงานเข้าใจและทำงานด้วยกันได้ เหตุที่เกิดปัญหาเพราะคนหัวดีมาอยู่รวมกัน ซึ่งต่างมีความคิดแยกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งคือหัวก้าวหน้า อีกส่วนต้องการแนวสาธารณสุขแบบเก่า และอีกส่วนก็เป็นกลาง เมื่อมีความคิดแตกแยก เมื่อแต่ละ กลุ่มที่มีความคิดที่ต่างกัน จะใช้เวลาเพียง 1-3 ชั่วโมงเพื่อแก้ไขปัญหานั่นคงทำไม่ได้ คงต้องใช้เวลา 3-4 ปี เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดมานานพอสมควร
- นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย อดีต รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า การที่ น.พ.ประเวศ ระบุว่าปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
ของ ก.สาธารณสุข มีความเชื่อมโยงกับอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขที่เป็นเจ้าพ่อว่า "ต้องปล่อยท่านเพราะท่านคงหลง แต่ผมไม่หลง และทำใจได้ เพราะตอนที่ เข้าไปบริหารกระทรวงสาธารณสุข ช่วงแรกก็เล่นผมเสียเลอะเทอะ แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่ การจะพูดจาอะไรเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ควรตั้งสติให้ดี อย่าพูดอะไรเลื่อนลอย เพราะพูดแล้วสังคมลูกหลานที่อยู่ข้างหลังเมื่ออ่านข่าวแล้วไม่รู้ก็อาจคิดว่าเป็นอย่างนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นจะไปล้วงลูกย้ายคนโน้น คนนี้เพื่อประโยชน์อะไร ผมมีแต่จะหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้"
28 ก.พ.45 - แกนนำเครือข่ายอนุรักษ์พิทักษ์สาธารณสุข (อพส.) ประกอบด้วย น.พ.ไพโรจน์ นิงสานนท์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข น.พ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัด น.พ.มรกต กรเกษม อดีตเลขาธิการองค์การอาหารและยา น.พ.ดำรง บุญยืน อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ ร่วมแถลงข่าวปัญหา ความไม่สงบเรียบร้อยของการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารใน สธ. 70 ตำแหน่ง ที่โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี มี น.พ.มงคล ณ สงขลา อดีตปลัด สธ. ร่วมฟัง สรุปว่า อพส.ได้สำรวจความเห็นของประชาคม สธ. พบว่า 75% เห็นว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้มีปัญหาในเรื่องความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมน้อย ผู้ตอบ 1 ใน 3 เห็นว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ไม่มีความถูกต้อง ไม่โปร่งใส และไม่เป็นธรรมเลย มีมากกว่าครึ่งเห็นว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ทำให้คนมีประวัติ ด่างพร้อยมีอำนาจ และโยกย้ายคนดีมีความสามารถที่ควรได้ทำงานไปเข้ากรุ แต่งตั้งคนที่นักการเมืองสั่งโดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด น่าจะมีสาเหตุมาจากการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงสุดที่ผิดพลาด คือแต่งตั้งคนผิด ทำให้การกระทำที่ตามมาผิดไปเรื่อยๆ โดย น.พ.บรรลุ ระบุว่า "...ถ้าจะ ลงโทษใคร ผมอยากลงโทษปลัดเก่าที่นั่งอยู่นี่ เพราะท่านนี่แหละที่เสนอชื่อผิด เรื่องถึงเป็นอย่างนี้ ถ้าตัวต้นเหตุยังอยู่อย่างนี้ สธ.จะไม่มีทางสงบสุขเลย"
ต่อมา "สุดารัตน์" และ น.พ.สุรพงษ์ เปิดแถลงที่ สธ.ระบุการแต่งตั้ง น.พ.วินัย ได้ดำเนินการถูกต้อง แม้ น.พ.มงคลจะเสนอเพียงหลักเกณฑ์ของคนที่ เหมาะสมจะเป็นปลัด สธ. ไม่ได้เสนอชื่อบุคคลก็ตาม ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง นายวิษณุ เครืองาม เลขาธิการ ครม.คงทักท้วงแล้ว"
คำว่ากบฏยังเติร์ก เป็นคำเรียกที่ได้รับอิทธิพลมาจากการปฎิวัติของเคมาล ปาซา นายทหารหนุ่มของตุรกี ที่ไม่พอใจระบบศุลต่านและเห็นว่าเป็นเหตุให้อาณาจักรออตโตมัน (ตุรกีในสมัยนั้น) อ่อนแอและพ่ายแพ้ต่อมหาอำนาจอย่างอังกฤษในสงครามโลก
ภายหลังการปฏิวัติสำเร็จ ทำให้เคมาลและการกระทำของเขาและพรรคพวกได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาขับไล่พวกศักดินารุ่นเก่าให้ตกไปจากสังคม และจะช่วยดึงเอาประเทศด้อยพัฒนาหลุดพ้นออกมาเทียมหน้าตาคนอื่นเขาบ้าง
ชื่อยังเติร์กเลยเป็นที่นิยมในการเรียกนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความคิดทางการเมือง ซึ่งในไทยช่วงนั้น นายทหาร จปร.รุ่น 7 ที่มี พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.จำลอง ศรีเมือง พ.อ.ประจักต์ สว่างจิตรเป็นแกนนำ และมีบทบาทมาตั้งแต่หลัง 14 ตุลา 16 (หรือในเหตุการณ์ด้วยก็ไม่ทราบเพราะไม่มีใครออกมายืนยันนอกจากเอกสารแสดงความคิดเห็นบางแหล่ง เช่น กังหันต้องลม ที่พยายามจะกล่าวถึง พล.ท.วิฑูร ยะสวัสดิ์ ว่าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย ซึ่ง จปร.7 ส่วนใหญ่จะเป็นทหารที่เข้าร่วมรบในลาวที่มี พล.ท.แม้ว ผู้นี้เป็นผู้นำ)
ภายหลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.16 จปร. 7 เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำนายทหารระดับคุมกำลัง (กองพัน) ซึ่งขณะนั้น จปร. 5 ซึ่งเป็นคู่กัดตลอดกาลกำลังเซ อันเนื่องมาจาก พ.อ.ณรงค์ กิติขจร ซึ่งเป็นหัวขบวนรุ่น 5 ต้องระเห็จไปนอกตาม 2 จอมพลไปด้วย
จปร. 7 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบที่สำคัญและได้รับการกล่วขวัญถึงความกล้าหาญในหมู่ทหารหลายครั้ง เช่น พ.อ.จำลอง ในสมรภูมิภูผาที ฐานเรดาห์ของซีไอเอในลาวที่ถูกทหารเวียดนามเหนือตีแตก (จากบันทึกของซีไอเอ ระบุว่าทหารรบพิเศษของไทยไม่ได้ปะทะกับข้าศึกสักเท่าไร เมื่อเทียบกับทหารม้งของวังเปาและซีไอเอเอง ขณะที่ พ.อ.จำลองถึงกับบันทึกไว้ในประวัติชีวิตของตนเองว่า ถ้าเป็นสงครามที่เปิดเผยเขาจะต้องได้เหรียญซิลเวอร์ สตาร์ ซึ่งเป็นเหรียญกล้าหาญขั้นสูงของสหรัฐจากสมรภูมินี้ไปแล้ว ไม่รู้ข้อมูลใครแม่นกว่ากัน)
-------------------------------------
การมีส่วนร่วม(หรือแค่สังเกตการณ์ เพราะนักประวัติศาสตร์บางท่าน วิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 นั้น ทหารไม่ใช่ผู้ปฏิบัติการหลัก เพียงแค่เข้ามายึดอำนาจในตอนเย็นหลังจากเหตุการร์บานปลายไปมากแล้วเท่านั้น) จปร.7 ก็กลายมาเป็นกลุ่มทหารที่มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างล้นเหลือ ถึงขนาดกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีได้โดยการกดดันให้พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นเป็นนายกฯ
ก่อนจะถึงเหตุการร์กบฎยังเติกร์ ขอย้อนกลับมานิดหนึ่งว่า ก่อนหน้านั้นเกิดความพยายามที่จะทำรัฐประหารขึ้นมาครั้งหนึ่ง โดยการนำของ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ อดีตรอง ผบ.ทบ. โดยมีนายทหารคนสนิทที่เป็นที่รู้จักกันดีในวันนี้ คือ พ.ท.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งได้เข้าร่วมนำกำลังจากเมืองกาญจนบุรี พล.ร.9 เข้ามายึดสนามเสือป่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2521 การก่อการครั้งนั้น เกิดพลาดครั้งใหญ่ คือ พล.อ.อรุญ ทวาทะศิน ถูก พล.อ.ฉลาด ยิงเสียชีวิต ซึ่งม่เป็นที่ชัดเจนว่า พล.อ.อรุณ เข้าไปร่วมด้วยแต่เปลี่ยนใจภายหลัง หรือถูกบังคับแต่ต้น
ผลจากการเสียชีวิตของพล.อ.อรุณ ทำให้ภายหลังเมื่อมีการปราบปรามกบฎลงได้แล้ว ได้มีการประหารชีวิต พล.อ.ฉลาด โดยใช้มาตรา 21
ความเกี่ยวข้องของ จปร. 7 ในครั้งนี้ คือ พ.อ.มนูญ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปปราบกบฎ ซึ่งก่อนที่จะนำรถถังเข้าล้อมได้มีการตกลงกับ พ.อ.สนั่น ไว้ก่อนแล้วว่าให้ต่างฝ่ายต่างถอดชนวนปืนเพื่อไม่ให้ยิงใส่กันได้จริง ๆ (ปืนรถถังกับปืนต่อสู้รถถังที่ฝ่ายกบฎนำมาจากกาญฯหลายกระบอก
ประสบการร์ในการปราบกบฎครั้งนั้น คงมีส่วนให้ พ.อ.มนูญ เห็นอะไรบางอย่างจากการรัฐประหารโดยกำลังรถถังบ้าง
และเมื่อ จปร.7ได้ผลักดันให้ พล.อ.เปรมขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรรีเรียบร้อยแล้ว เกิดขัดใจกับ พล.อ.เปรมที่ดูเหมือนจะตั้งให้ จปร.5 ได้ตำแหน่งที่สำคัญมากกว่า ซึ่งจะมีผลให้ดุลอำนาจของ จปร.7ลดลง ประกอบกับการต่ออายุราชการของป๋า ซึ่งส่งผลให้ พล.อ.สันต์ จิตรปฏิมา รองผบ.ทบ.หมดสิทธิขึ้นคุมกองทัพ และต่อมาก็ถูกเด้งเข้ากรุ
เมื่อผู้คุมกำลังระดับกองพันกับหัวขบวนระดับเสธ.ใหญ่มากบารมี เกิดมีความคิดเห็นที่ตรงกัน จึงเกิดการรัฐประหารขึ้น และเนื่องจากได้ทำกันในวันที่ 1 เมษายน 2524 จึงเรียกกันติดปากว่า กบฎเมษาฮาวาย
กาทำรัฐประหารครั้งนั้น เป้นการชุนุมกองกำลังที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีทหารระดับกองพันเข้าร่วมถึง 28 กองพัน (ไม่แน่ใจตัวเลขว่าใช่เลขนี้แน่นอนหรือเปล่า) ซึ่งสูงมาก แทบจะไม่มีกองพันเหลืออยู่ข้างรัฐบาล เพราะส่วนใหญ่ถูกคุมโดย จปร.7 หรือน้องรักสายตรงของรุ่นนี้
รัฐประหารครั้งนั้นมี พล.อ.เสริม ณ นคร เป็นหัวหน้า ซึ่งภายหลังได้แจ้งว่าเข้าร่วมเพือยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรง และมี จปร. 7 เข้าร่วมครบครัน แต่พลาดไปคือ การเข้าจับตัว พล.อ.เปรม ที่ปล่อยให้กระโดดหน้าต่างหนีไปได้ และไปรวมกำลังกันที่โคราช กอง บก.ทัพภาค 2 ที่มี พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก เป็นรองแม่ทัพ อยู่
การรัฐประหารครั้งนี้เป็นกรณีคลาสิกอีกครั้งหนึ่งของไทย เพราะเป็นการรบกันบนคลื่นวิทยุ โยในวันแรก ต่างคนต่างประกาศปลดกันกลางอากาศ ตามมาด้วยการเรียกให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปรายงานตัว ทั้งที่ สนามเสือป่าและโคราช ซึ่งว่ากันว่า มีหลายคนทีเดียวที่รอให้สถานการณ์ชัดเจนเห็นผู้ชนะรำไรแล้ว ค่อยไปรายงานตัว ซึ่งปรากฏว่าได้ดิบได้ดีกันไปทุกคน สำหรับบรรดานักแทงกั๊ก ส่วนพวกแทงเต็ง ที่เฮงก็รอด ที่พลาดก็เรียบร้อย เข้าซังเตเป็นแถว
ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ พล.อ.เปรม มีหลายประการที่มี่ส่วนทำให้เกิดชัยชนะ เริ่มจากการที่สามารถหลบหนีออกไปจาก กทม.ไปพำนักยังถ้ำเก่า ที่โคราชได้ และที่สำคัญคือ สามารถอัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทรัตราชสุดา ไปถวายอารักขา ณ กองบัญชาการทัพภาค 2 ได้ แค่นี้คนไทยก็รู้แล้วว่าควรเข้าข้างใคร
ส่วนยุทธวิธีแตกหักสุดท้ายอยู่ที่การทยอยนำกำลังทหารแต่งชุดพลเรือนนั่งรถเข้ามา กทม.ทั้งที่มีการตั้งด่านเพียบ (เขาว่ากันว่ามีการรู้เห็นเป็นใจให้เข้ามาด้วย ก็แหมทหารเหมือนกันดูกันไม่ออกเลยหรือ บางคนก็รุ่นเดียวกัน เพื่อนกันทั้งนั้นแหละ) ผลสุดท้ายก็ยึด กทม.ไว้ได้ โดย พ.อ.มนูญ รูปขจร ต้องหนีไปเยอรมัน ส่วร พล.อ.สันต์ ขึ้น ฮ.หนีไปพม่า
ภายหลังเมษาฮอาวายล้มเหลว จปร.7ก็ร่วงโรยไปด้วย เหลือเพียง เดอะซัน ที่โชนแสง สร้างปรากฏการณ์กระโดจาก พล.ต.ขึ้น พล.อ.ภายในปีเดียว และชั่วข้ามไปอีกปีเดียวก็พุ่งขึ้นไปครองตำแหน่ง ผบ.ทบ.หลังจากเอา พล.อ.ประยุทธ มาคั่นไว้ 1 ปี แต่สร้างเกียรติประวัติให้สำนักจักรดาวแบบไม่รู้ลืม เพราะไปเปลี่ยนชื่อ รร.เตรียมทหารเป็น รร.รวมเหล่า เฉยเลย สุดท้าย เดอะซัน ต้องเปลี่ยนกลับ
ความจริง เดอะซัน เองก็ไม่น้อยหน้า เพราะไปเปลี่ยนเครืองแบบทหารเข้าให้เหมือนกัน โดนไปเลียนแบบเครื่องแบบมทหารจากสหรัฐ ใส่เสื้อเชิ๊ตสีเขียวอ่อนแทนเสื้อแบบเดิม ที่ทหารหาญหลายคนบ่อว่าขาดมาดแมนไปเยอะ สุดท้ายก็เปลี่ยนกลับเหมือนเดิม โดย พล.อ.จิ๋ว
เดอะ ซัน สร้างชื่อยาวนนจากปี 2524 จนถึง 2529 มีบทบาทวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลป๋าผ่านหน้า นสพ.จนนักข่าวขี้เกียจเขียนคำว่า พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เพราะต้องเขียนกันทุกวัน ทุกวรรค เลยเปลี่ยนมาตั้งสมญานามว่า บิ๊กซัน เพื่อให้สอดคล้องกับบทบา จนกระทั่งกลายเป็นประเพณีที่ต้องตั้งสมญานามบรรดา พล.อ.ของกองทัพโดยเฉพาะเหลา 5 เสือ ว่า บิ๊ก (ความจริงก่อนหน้านั้นก็ตั้งสมญานามให้ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ว่าบิ๊กจอว์ส เหมือนกัน แต่ไม่ได้ต่อเนื่องยาวนานเหมือนยุค บิ๊กซัน
บิ๊กซันเรืองอำนาจมาจนกระทั่งถึงวันที่ออก ทีวี ประกาศคัดค้านการลดค่าเงินบาทของรัฐบาลป๋า ประกอบกับการเสนอต่อายุราชการให้โดย พล.ท.จุไท แสงทวีป ทำให้ป๋าเคืองหนัก สุดท้ายเมือทุกอย่างพร้อม ป๋าก็ประกาศแต่งตั้ง พล.อ.จิ๋ว ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.แทน ขณะที่ บิ๊กซันยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับจากอังกฤษ เรียกว่าปลดกลางอากาศของจริง หลังจากภารกิจนี้ ป๋าก็เลยได้สมญานามว่า "นักฆ่าแห่งลุ่มเจ้าพระยา" ด้วยกลยุทธิ แบบ แบ่งแยกแล้วปกครอง ที่ไม่ยอมให้เหล่าไหน รุ่นใดเข้ามากุมอำนาจแบบยกแผง ทำให้ป๋าลอยตัวอยู่ได้ถึง 8 ปี ไม่เชื่อลองสังเกตบรรดาลูกป๋าที่ภายหลังวงแตก ต่างทะเลาะกันเป็นแถว ไม่ว่าสายการเมือง นายชวน สายทหาร นายจิ๋ว สายการข่าว ปีศาจคาบไปป์ สายการคลัง ดร.โกร่ง สาย มท.ปลัดฮิเจ้าของวลีแห่งศตวรรษ "น้ำเป็นของนก นายกฯเป็นของป๋า"
อ้อมตะวันซะจนลืม จปร.7 ยังครับ ยังเติร์ก ยังไม่จบ ภายหลังหายเข้าไปในดงไส้กรอก ใครก็คิดว่าหมดฤทธิ์แล้ว แต่ผู้การทหารม้าแห่ง ม.พัน 4 ไม่สิ้นลายง่าย ๆ และแล้วเมื่ออรุณรุ่งของวันที่ 9 กันยายน 2528 ขบวนรถถัง นำโดย ร.อ.ลาน ด่านขุนทด (ไม่แน่ใจว่ชื่อนี้หรือเปล่าแต่ใกล้เคียงแน่ เพราะเขาประกาศเสียงดังฟังชัดว่าชีวิตนี้เขายอมตายเพื่อพี่มนูญได้) ก็เข้ายึดพระรูปทรงม้า พร้อมด้วยกำลังจากเหล่าอากาศโยธิน ของน.อ.มนัส รูปขจร ผู้น้อง
เหตุการณ์ครั้งนี้ดำเนินไปด้วยความรุนแรง มีการยิงปืนใหญ่รถถังไปที่หน้าบ้านสี่เสาร์เทเวศน์หลายนัด ปรากฏเป็นหลุดลึกบนถนน ซึ่งมีสะเก็ดระเบิดชิ้นหนึ่งปลิวทะลุรถ ปอ.ผ่านเข้าไปในช่องหูช้างกระจกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่คุณแม่ของเด็กนักเรียนที่อยู่บริเวณนั้นรีบขึ้นรถมารับเพราะกลัวจะเกิดอันตราย เศษระเบิดชิ้นนั้นทะลุเข้าลำคอของคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างหลังเสียชีวิตทันที ขณะที่ลูกชายที่กำลังไปรับไม่สามารถกลับบ้านโดยปลอดภัย รวมทั้งมีการยิงปืนกลรถถังกราดไปทั่ว ส่งผลให้นักข่าวจากสำนักข่าวตปท.(ไม่แน่ใจว่าใช่รอยเตอร์หรือเปล่า) ถูกปืนยิงตั้งแต่ช่วงเอวลงมาเสียชีวิต ที่น่าสนใจคือนักข่าวคนนี้ผ่านมาแล้วทั้งเวียดนามและลาว ว่ากันว่าเป็นคนที่ถ่ายภาพตอนรถถังเวียดนามเหนือวิ่งชนประตูทำเนียบปธน.เวียดนามใต้ด้วย กลังต้องมาจบชีวิตใน กทม.ที่ขึ้นว่ามีการปฏิวัติที่สงบเงียบเรียบร้อยที่สุดในโลก
การก่อการครั้งนี้ พ.อ.มนูญเชื่อว่าจะสำเร็จแน่นอน เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ที่คุมกำลังอยู่ แต่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันไม่มีใครแสดงตัวออกมาว่าเป็นหัวหน้า รวมทั้งไม่มีกองกำลังอื่นใดมาเสริมนอกจากรถถังและทหารจากอากาศโยธินของ มนัส เพียงไม่เกิน 2 กองร้อย
ที่น่าสนใจ คือ การส่งเสบียงของทหารรถถัง ปรากฏว่าใช้รถยนต์ส่วนตัว คนขับพลเรือน ขับมาเทียบจอด พร้อมส่งอาหารและน้ำดื่มให้กับทหารในรถ โดยมีโค้กกระป๋อง ซึ่งใน พ.ศ.นั้นยังไม่มีขายในไทยรวมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อไปบวกกับข่าวลือว่ามีการพูดคุยในตปท.ก็น่าเชื่อเหมือนกัน (ตอนนั้น นายกฯและผบ.ทบไปเมืองนอกทั้งคู่ ป๋าเข้าใจว่าจะไปมาเลฯส่วนบิ๊กซันไปอังกฤษ ซึ่งปกติในสมัยที่การเมืองไม่ค่อยมั่นคงไม่เคยมีเหตุการณ์ว่าผู้นำ 2 ตำแหน่งนี้จะไม่อยู่ในเมืองไทยพร้อม ๆ กัน) ทำให้ภารกิจในการปราบปรามตกอยู่กับ พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ.ซึ่งภายหลังได้รับการตอบแทนด้วยการให้ตั้งพรรคการเมืองและเข้ามาเป็น รมต.เนื่องจากเกษียรปีนั้นพอดี เลยไม่ได้ก้าวกระโดดเหมือนบิ๊กซัน
ส่วนผู้ก่อการที่นั่งรถถังมาเที่ยวกรุงทั้งหลายก็กอดคอกันเดินไปเข้าตารางที่ พล.1 และคิดยาวนานไปจนป๋าใจอ่อนยอมอภัยโทษให้
สำหรับผู้ที่นัดแล้วไม่มาซึ่งบัดนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใครก๋ล่องหนเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้
พ.อ.มนูญ ก็กลับไปเยอรมันอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาได้ในสมัยของน้าชาติเพื่อมารับยศเป็นพล.ต. และมาเจอวิบากกรมอีกครั้งในยุค รสช.ในคดีลอบสังหาร จนกระทั่งเปลี่ยนชื่อเป็นมนูญกฤต รูปขจร ผู้กลายมาเป็นประธานวุฒิสภาในปัจจุบัน
พ.อ.ประจักต์ ที่ไม่ได้เข้าร่วมในเหตุการณ์ 9 กันยา ตอนนี้ก็แต่งชุดพรางตัวโปรดช่วยภรรยานับเงินจากธุรกิจส่วนตัวอย่างเดียวก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว
พ.อ.บุลศักดิ์ โพธิเจริญ พยานปากสำคัญในการปรักปรำ พ.อ.มนูญ ที่คนขับรถได้ดีเป็ร รมต. ก็ไปเป็นชาวสวนอยู่สิงห์บุรีก่อนลงรับเลือกตั้ง ข่าวว่า จปร.7 ตัดสัมพันธ์ไปแล้ว ฐานหักหลังเพื่อน
พ.อ.จำลอง หลังจากอกหักจาก ผู้ว่า กทม.ฯก็ไปเป็น ผอ.รร.ผู้นำอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีไปแล้ว
จปร.7 บางคนที่ขอกลับเข้ารับราชการหลังเหตุการณ์เมษาฮาวาย หลายคนก้าวหน้าในราชการจนสุดท้ายได้เกษียรในยศ พล.อ.
ตอนนี้ก็ถึงเวลาจบเรื่องของ จปร.7 เจ้าของตำนานยังเติร์ก ซึ่งเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตเขาเหล่านั้นเท่านั้น และคงไม่ใช่ฉากสุดท้ายของ ยังเติร์ก เพราะคนที่จะเขียนฉากนี้ได้ คงต้องเป็นท่านประธานวุฒิสภาคนปัจจุบันเท่านั้น
.อ.พัลลภ ปิ่นมณี (พล.อ.) เป็นนายทหารรุ่น จปร.7 ครับ และมีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยเมษาฮาวายมาก เป็นแกนนำท่านหนึ่ง ภายหลังขอกลับเข้ารับราชการจนกระทั่งมาลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.กลาโหม(หรือมหาดไทย ไม่แน่ใจ)ในสมัยน้าชวน เป็นอันจบบทบาททางการเมืองของท่าน
ส่วนยังเติร์กรุ่นแรกนั้น เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า กบฏ รศ.130 เป็นสมัย ร6 ตอนนั้นผู้นำในการปฏิวัติไม่ได้รับอิทธิพลจากมุสตาฟา เคมาล ปาชา หรอกครับ แต่ได้รับอิทธิพลจาก ดร.ซุน ยัด เซ็น จากการปฏิวัติสาธารณรัฐในจีน สังเกตได้ว่าจะมีการนำนายแพทย์เข้ามาร่วมด้วย (นพ.เหล็ง ศรีจันทร์) ทำให้มีชื่อซอยหมอเหล็งไงครับ
สาเหตุของการกบฎครั้งนั้น สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างทหารมาดเล็กรักษาพระองค์ของ ร.6 กับทหารประจำการ ซึ่งตลอดรัชสมัยนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับทหารประจำการไม่ดีนัก เนื่องจากทหารสมัยใหม่พึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ ร.5 นี่เอง แต่ได้แสดงบทบาทได้สูงมาก เพราะเป็นการจัดองค์กรบริหารแบบใหม่ (สมัยนั้น) ทำให้มีประสิทธิภาพมาก รวมทั้งผู้ที่คุมกำลังทหารอยู่ก็เป็นแคนดิเดทในการสืบรัชกาลอยู่ด้วย ทำให้ ร6 ต้องสร้างกองกำลังตัวเองขึ้นมาในชื่อว่า เสือป่า แถมมีเพลง ปลุกใจเสือป่า ที่กลายมาเป็นแสลงของอะไรที่ "โป๊ ๆ " อยู่ทุกวันนี้ครับ แถมยังมีเรื่องอื้ฉาวเกี่ยวกับลอตเตอรรี่บำรุงเสือป่าที่ประธานในการออกดันปลอมชื่อว่า ชื่น เรือลอย เข้ามารับรางวับเสียเองอีก
เข้าเรื่องดีกว่า ต้นเหตุมาจากทหารประจำการที่อยู่ ณ ที่ทำการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน ไปเที่ยวงานวัดตามประสาวัยรุ่น เห็นบางฉบับบอกว่าไปนั่งจีบแม่ค้าขายขนมจีน แล้วไปทะเลาะกับทหารหมาดเล็กของพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งก็คือ ร.6 ในสมัยต่อมา
เมื่อมีเรื่องกันทหารสู้ไม่ได้ก็วิ่งมาตามพรรคพวกที่กรม ทหารในกรมก็เฮกันไปรุมยำพวกมหาดเล็กเสียสะบักสะบอม ความทราบถึงในหลวง( ร.5) ท่านก็ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องคนหนุ่มทะเลาะกันไม่น่าจะให้ลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ก็สั่งให้ลงโทษไปตามความผิด
แต่ข้อมูลที่ได้อ่านมาจากบางแห่ง บอกว่า ร.6 ซึ่งดำรงอิสรยศเป็นผู้สืบบัลลังก์ในบระยั้ยไม่พอพระทัย ต้องการให้ลงโทษด้วยการเฆี่ยนตามกฏหณเทียรบาล ซึ่งได้ลยกเลิกไปแล้ว เพราะมีการจัดทำกฏหมายอาญาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีการกล่าวอ้างถึงขั้นที่ว่า หากไม่ทำตามพระราชประสงค์จะลาออกจากองค์รัชทายาท (มีหนังสือประวัติศาสตร์อ้สงอิงความข้อนี้อยู่ แต่อยากให้พิจารณาให้ดี เพราะเป็นเรื่องกระทบเบื้องสูงและยังไม่น่าจะเป็นข้อชี้ชัดทางประวัติศาสตร์)
เมื่อเป็นดังนั้น จึงกำหนดให้มีการลงโทษด้วยการเฆี่ยนที่บริเวณลานสนามหญ้าในกระทรวงกลาโหม (ตึกกระทรวงจะล้อมสนามอยู่ ตรงกลาลว่างตามสไตล์ยุโรป
จากบันทึกบอกว่าการลงโทษครั้งนั้นพระองค์ (ร.6)เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง เมื่อถึงเวลา ราชมัล ก็ลงแส้ ซึ่งตามหลักการลงแส้ของราชมัลหรือเจ้าหน้าที่เฆี่ยนนั้น ลงครั้งแรกต้องได้เลือด ครั้งที่สองต้องเนื้อปริ ไม่ใช่มาแกล้งเฆี่ยนกันเบา ๆ เหมือนในหนังนะครับ
การเฆี่ยนในช่วงเที่ยงวัน(เวลาพักเที่ยงเพื่อให้ทหารคนอื่นออกมาดูไว้เป็นเยี่ยงอย่าง) ดำเนินไปจนเสร็จสิ้น ปรากฏว่าผู้ต้องหา (ถ้าไม่ผิดน่าจะ 6 คน) สลบคาขาหยั่ง สร้างความหดหู่ให้กับนายทหารท่านอื่นที่พบเห็นยิ่งนัก จนเป็นสาเหตุที่ยกมากล่าวอ้างว่า ทหารถูกลบหลู่เกียรติอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าสาเหตุของการตัดสินใจเตรียมการปฏิวัตืนั้น น่าจะมีมาจากหลายทางมากกว่าเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว เพราะการบริหารราชการในสมัยนั้นก็ค่อนข้างมีปัญหา เพราะแกนนำ คือ ทางพระราชวังนั้นค่อนข้างจะเป็นแบบโบราณ คือ สำราญบานเย็นไปเรื่อย ขระที่ทหารและข้าราชการประจำที่ได้รับการจัดองค์กรแบบใหม่ มีพลังเพิ่มขึ้นมาก สถานการณ์แวดล้อมก็ระอุด้วยไฟสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ระเบิดขึ้นในยุโรป |
 |
 |
01 มี.ค. 51 / 01:44 |
 |
0
0
JackFrost : n/a : n/a : n/a |
 |
|
 |
 |
|
followup id 400199
|
58.9.78.50
|
|
|
 |