|  | 
					
						|  |  
						| #5# - 675163 | ![[icon-addtodelete : 101 bytes]](img/icon-delete.gif) |  
						|  |  
						| ![[member icon]](icon/5a.gif) |  | ผมทรงนักเรียน ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
 
 ผม "ทรงนักเรียน" กำลังจะหายไป เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมทรงนี้ถูกบั่นทอนจากกระทรวงศึกษาเอง
 
 ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและครอบครัวของกระทรวงประกาศว่า จะยกเลิกระเบียบว่าด้วยทรงผมของนักเรียนแล้วปล่อยให้แต่ละโรงเรียนกำหนด มาตรฐานเอาเอง
 
 ผอ.ของบางโรงเรียนเกรงว่าเด็กจะต่อรองกับทางโรงเรียนไม่มีที่สิ้นสุด สู้ให้กระทรวงออกระเบียบชัดเจนมาเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งให้เหตุผลกับนักเรียนให้ยุ่งยาก นับเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนมานานแล้ว นั่นก็คือเหตุผลคือความเห็นของอำนาจที่เหนือกว่า
 
 ในขณะที่ ผอ.อีกบางโรงเรียนพอใจกับระเบียบใหม่ เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและโรงเรียนได้ทำงานใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ต้องเชิญผู้ปกครองมาช่วยกันออกระเบียบทรงผม และอีกบางโรงเรียนเห็นว่าระเบียบเก่าล้าสมัยเกินไป สมควรแล้วที่จะแก้ระเบียบเสียใหม่ แต่ก็ไม่อยากให้เด็กเอาใจใส่กับทรงผมเสียยิ่งกว่าบทเรียน
 
 แต่ที่จริงแล้ว "ทรงนักเรียน" ที่ใช้บังคับมาหลายสิบปีนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผมบนหัวอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับโลกทรรศน์ที่ต้องการปลูกฝังลงไปใต้หนังหัวของนักเรียนด้วย
 
 โลกทรรศน์ดังกล่าวนั้นมีอยู่สองประการ
 
 1. "ทรงนักเรียน" ทำลายลักษณะปัจเจกของนักเรียนแต่ละคนลง เพราะทุกคนแต่งกายและไว้ผมเหมือนกันหมด ความเป็นตัวเขาคือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เรียกว่า "นักเรียน" อันเป็นกลุ่มทางสังคมที่สถาปนาขึ้นมา โดยสมาชิกไม่ได้มีความสมัครใจ แต่ถ้าเขาไม่สังกัดอยู่ในกลุ่มนี้ เขาก็จะสูญเสียตัวตนของตัวไปอย่างสิ้นเชิงเหมือนกัน
 
 2. สัมพันธ์กับข้อหนึ่งอย่างแยกกันไม่ออก ความเป็นระเบียบ,ความเหมาะสม,ความสวยงาม และความถูกต้องเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่หรืออำนาจเป็นผู้ตราขึ้น นักเรียนต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังความเห็นของอำนาจ เราใช้ "ความเป็นนักเรียน" เป็นกลไกสำคัญของการควบคุมทางสังคม(Social control) และในการควบคุมทางสังคมนั้นเราใช้เหตุผลน้อย แต่ใช้อำนาจมาก
 
 การปล่อยเสรีด้านทรงผมเพียงอย่างเดียวจึงไม่พอ ไม่พอแม้แต่จะใช้เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิรูปการศึกษา
 
 ความห่วงใยของผู้บริหารโรงเรียนบางแห่งว่า เด็กนักเรียนจะสนใจการแต่งตัวยิ่งกว่าเรียนหนังสือ ถ้าปล่อยให้เด็กแต่งผมได้ตามใจชอบ เป็นเรื่องของความวิตกต่อปัจเจกที่หลุดจากการควบคุมของอำนาจ
 
 แต่เราสามารถสร้างความสามารถที่จะคิดเองด้วยเหตุผลให้แก่นักเรียนขึ้นมาแทนที่อำนาจได้
 
 นักเรียนคงไว้ทรงผมที่แตกต่างกันตามแต่รสนิยมส่วนตัวของนักเรียนแต่ละคนจนไม่มี "ทรงนักเรียน" อีกต่อไป แต่นักเรียนสามารถรู้ความสำคัญของทรงผมในชีวิตของตัวว่ามีแค่ไหน อุทิศเวลาและทรัพย์ให้แก่ทรงผมในระดับที่พอเหมาะสมควร
 
 ระบบการศึกษา ได้ทำอะไรเพื่อเพิ่มความสามารถของนักเรียนในแง่นี้บ้างหรือ ไม่เฉพาะแต่การพิจารณาเรื่องการแต่งกายแต่แทรกเข้าไปในกระบวนการเรียนรู้ ทั้งหมดของนักเรียน
 
 มิฉะนั้นการปลดปล่อยนักเรียนจากความเป็นทาสของ "ทรงนักเรียน" จะมีความหมายแต่เพียงการหยิบยื่นนักเรียนไปสู่ความเป็นทาสของแฟชั่นเท่านั้น
 
 อันที่จริงความเป็นปัจเจกอย่างสมบูรณ์นั้นไม่มีจริงในโลก มีอยู่แต่ในแนวคิดเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีความผูกพันทางใจหรือทางกายกับคนอื่นๆ ด้วยกันทั้งนั้น โรงเรียนเคยทำลายความเป็นปัจเจกของนักเรียนลง แล้วเอานักเรียนมาผูกพันอยู่กับกลุ่มแคบๆ คือความเป็นนักเรียนของโรงเรียนเท่านั้น แต่การควบคุมทางสังคมซับซ้อนกว่านั้นมาก เยื่อใยความสัมพันธ์กับกลุ่มต่างๆ ในสังคมควบคุมพฤติกรรมของคนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าโรงเรียน
 
 ฉะนั้น ในกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนต้องเป็นไปโดยความผูกพันอยู่กับกลุ่มทางสังคมอย่างน้อยสามกลุ่มอีกด้วยนั่นก็คือครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม
 
 คำถามก็คือในหลักสูตร,ในวิธีการสอน,ในประสบการณ์ต่างๆ ที่โรงเรียนจัดให้นักเรียน มีส่วนมากน้อยแค่ไหนในการฟื้นฟูและสร้างความสัมพันธ์ของนักเรียนกับกลุ่ม ทั้งสามนี้ เช่นครอบครัวมีบทบาทอย่างไรในกระบวนการเรียนรู้ นักเรียนเคยถูกพาไปเรียนรู้ร่วมกับชุมชนบ้างไหม มิติทางสังคมเคยถูกนำมาพิจารณาในการเรียนวิชาต่างๆ บ้างไหม เป็นต้น
 
 หรือเราสอนให้เด็กคิดถึงแต่ตัวเอง คือเน้นปัจเจกภาพ แต่ควบคุมเด็กโดยบังคับให้รวมกลุ่มไว้ภายใต้การบัญชาของโรงเรียน ถ้าอย่างนั้นการปล่อยเสรีในเรื่องทรงผมก็อาจมีอันตรายต่างๆ อย่างที่ครูบางท่านวิตกห่วงใยอยู่จริง
 
 เช่นเดียวกับความเชื่อฟัง อำนาจ ตราบเท่าที่นักเรียนไม่ได้รับการส่งเสริมให้ตั้งคำถามกับอำนาจ ความเชื่อฟังนั้นก็เป็นไปด้วยความกลัวเท่านั้น อย่างที่นักเรียนแปลงทรงผมของตัวเมื่อออกจากโรงเรียนในทุกวันนี้ การตั้งคำถามกับอำนาจหมายถึงความเห็นที่หลากหลาย และยากที่จะหาข้อสรุปตรงกันเป็นหนึ่ง ระบบการศึกษาของเราต้องการความเห็นที่หลากหลายหรือต้องการคำตอบสำเร็จรูปที่ เป็นหนึ่ง
 
 ถ้ายังป้อนคำตอบสำเร็จรูปที่เป็นหนึ่งอยู่ ก็หลีกเลี่ยงได้ยากที่จะต้องใช้อำนาจบังคับให้รับคำตอบนั้นๆ และด้วยเหตุดังนั้น ก็มีทางเป็นไปได้ที่นักเรียนจะใช้เสรีภาพที่ตัวได้มาไปในทางที่เป็นอริกับ การเรียนรู้
 
 เสรีภาพนั้นจะใช้ได้เป็นก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพให้ใช้หนึ่ง และมีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้เสรีภาพนั้นอีกหนึ่ง
 
 ปฏิรูปการศึกษานั้นเป็นองค์รวม เราไม่อาจแยกมาตรการใดมาตรการหนึ่งขึ้นมาผลักดันโดดๆ โดยไม่มองความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของมาตรการนั้นๆ กับสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดในกระบวนการเรียนรู้ได้
 
 มติชน 16 มิ.ย 46
 |  |  |  
						| 13 ธ.ค. 55 / 14:26 |  | 
0   0 doqmtbc ![[icon smile : 92 bytes]](img/icon-smile.gif) (7762)  : n/a : n/a : n/a |  |  |  
						|  |  |  
						|  |  
						| 
							
								| followup id 675163 | 203.144.144.164 |  |  |  |