[suanboard monotone logo : 2777 bytes]
[header decor line : 64 bytes]
HOME RULE FAVOURITE MEMBER ZONE REACTIVATE FORGET PASSWORD    

SEARCH [icon freecompose : 217 bytes]
[icon register : 195 bytes] สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก : โพสต์รูป, รูปแบบตัวอักษร, ไอคอน, bookmark, ค้นหาข้อความ ฯลฯ [icon login : 178 bytes]

[icon-delete : 101 bytes]
" วิธีลงทุน ทำเงิน 400 ล้าน ตัวอย่างของเด็กเทพศิรินทร็ "
นำตัวอย่างการลงทุนที่เน้นการวิเคราะห็ความเป๊นไปได้ของ business model ของบริษัท มาให้อ่านกันครับ ไว้เย็นๆจะเข้ามา ใหม่

เครดิต กรุงเทพธุรกิจ



หลังพ่อแม่เสียชีวิตในเปลวเพลิง ขณะกิติชัยมีอายุ 12 ปี 'สามพี่น้อง' เหลือเงินจากการขายหุ้นโรงงานทอผ้าทั้งหมดประมาณ 2 ล้านบาท

เงินก้อนนี้ คือ 'จุดเริ่มต้น' ของการเดินทาง

ในตอนที่แล้วเล่าถึงประวัติชีวิตของเซียนหุ้นหน้าหยกที่ชีวิตพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืนราวกับนิยาย หลังพ่อแม่เสียชีวิตในเปลวเพลิงพร้อมโรงงานเสื้อยืด ขณะกิติชัยมีอายุ 12 ปี เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันขณะเรียนชั้น ม. 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ สามพี่น้องในวัยเยาว์ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดตามลำพังในธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้า โดยไม่มี "เสาหลัก" ของครอบครัว และนี่คือ "จุดหักเห" การเดินทางของชีวิตครั้งใหม่

กิติชัยเชื่อว่าพ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์คอยช่วยเหลือเขาจนประสบความสำเร็จและโชคดีในหลายๆ เรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งธุรกิจการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในตลาดหุ้น จนเขามีความเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ระหว่าง "เก่ง" กับ "เฮง" เฮงดีกว่าเก่ง เขาบอกว่ามีคนเก่งมากมายที่ไม่รวยเพราะเขาเหล่านั้นไม่มีโชคและไม่มีโอกาส

ด้านหลังโต๊ะทำงานของกิติชัยจะมีหิ้งไว้รูปของบุพการีที่ล่วงลับที่เขาต้องกราบไหว้เป็นประจำทุกวันเหมือนว่าพ่อและแม่คอยเกื้อหนุนและมองความสำเร็จของเขาอยู่ไม่ห่าง เนื่องจากโรงงานทอผ้าที่พ่อมีหุ้นส่วนและเป็นผู้จัดการไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงงานเสื้อยืดและที่พักจึงไม่ถูกไฟไหม้

"ตอนอายุ 12 ปี ผมจำได้แม่นเราพี่น้อง 3 คน มีเงินเหลือประมาณ 2 ล้านบาท ส่วนหนึ่งได้มาจากเงินประกันชีวิตของคุณพ่อ อีกส่วนมาจากเงินขายหุ้นโรงงานทอผ้าหลังหักหนี้สินทั้งหมดแล้วนะเหลือ 2 ล้านบาท"

กิติชัยเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งเรียน ทั้งเล่นหุ้น และช่วยพี่ชายขายส่งเสื้อผ้า เขาทำทั้ง 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆ กันโดยไม่ให้ "เสียศูนย์" อย่างใดอย่างหนึ่ง

"สมัยเรียนก็เริ่มเล่นหุ้นแล้วแต่เล่นสะเปะสะปะ อาจารย์ที่สอนเขาเล่นหุ้นด้วยก็ตามอาจารย์ไปเล่น ถามว่ามีใครเป็นต้นแบบคนแรกสุดก็คืออาจารย์แต่ไม่ได้เล่นหุ้นแนวอาจารย์หรอก สมัยก่อนผมเล่นแบบ "เก็งกำไร" แต่หุ้นที่เก็งกำไรจะต้องมีพื้นฐานนะพวกหุ้นปั่นจะไม่เล่นเลย ถึงจะเก็งกำไรแต่พื้นฐานต้องมาก่อน"

การเล่นเก็งกำไรบนหุ้นพื้นฐานและเล่นออกแนวฉลาดทำให้เด็กหนุ่มแซ่แต้รายนี้มีกำไรสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เขาจะมีกำไรเป็นกอบเป็นกำในช่วง "วิกฤติครั้งใหญ่" ยิ่งหุ้นตกเยอะๆ ก็ยิ่งมีโอกาสทำกำไรได้มาก

"มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจำวิกฤติไม่ได้เป็นสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นหุ้นตกเยอะคนอื่นขายแต่ผมเข้าไปซื้อจำได้ว่าเป็นหุ้นแบงก์ (ไม่ได้ซื้อเยอะมาก แต่ซื้อถูกจังหวะ) จน ก.ล.ต.โทรศัพท์ไปถามโบรกเกอร์ที่ผมเล่นว่าผมเป็นใคร เพราะราคามันลงไปเกือบฟลอร์แต่ลงไม่นานก็เด้งขึ้นเลย แล้วผมซื้อได้ราคาใกล้ๆ ฟลอร์ เขาก็เลยสงสัยว่าผมทำได้ยังไงมีอินไซด์รึเปล่า เวลาผมซื้อจะสั่งราคา MP (Market Price) มาร์เก็ตติ้งก็คีย์เร็วมาก กวาดหุ้นมาได้หมด ออเดอร์นั้นเล่นวันเดียวได้กำไรเป็นล้าน"

กิติชัยสะสมกำไรจากหุ้นมาเรื่อยๆ จากการซื้อมาขายไปบวกกับกำไรอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีมาตลอดก็เอามาลงทุนหุ้นเพิ่ม บางครั้งก็ขายหุ้นเอาไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ พอร์ตหุ้นก็ใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ ปัจจุบันเขาบอกว่ามีมูลค่าพอร์ตกว่า 400 ล้านบาท สำหรับหุ้นที่เซียนหุ้นรายนี้ภูมิใจที่สุดคือ บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ถืออยู่ 201,100 หุ้น มูลค่าปัจจุบันประมาณ 110 ล้านบาท

แต่หุ้นของกิติชัยที่มีมูลค่าเยอะที่สุดในพอร์ตคือ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) หรือหุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพ อันดับสอง บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) อันดับสาม บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) อันดับสี่ บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC)

"ปัจจุบันผมถือหุ้นหลักๆ 4 ตัวนี้ ตัวอื่นก็มีแต่ถือไม่เยอะหลักล้านบาทซื้อมาขายไปมากกว่า ถ้าเป็นหลักสิบล้านร้อยล้านก็มีแค่ 4 ตัวนี้ เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นหลายที่ที่ บล.ภัทร บล.คันทรี่ กรุ๊ป บล.บัวหลวง บล.พัฒนาสิน และบล.ฟินัสเซีย ไซรัส เวลาจะซื้อหุ้นก็กระจายไปหลายที่"

ห้องยุทธการของกิติชัยเป็นห้องนอนบนคอนโดหรูที่ถูกแบ่งออกมา 1 ห้องตกแต่งเป็นห้องเทรดหุ้นโดยเฉพาะ สมัยก่อนเขาเคยไปนั่งที่โบรกเกอร์ซึ่งมีห้องวีไอพีไว้บริการลูกค้ารายใหญ่แต่ว่าไม่สบายเหมือนบ้าน อีกทั้งยังรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองจึงเลือกที่จะไม่สุงสิงกับใคร และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง

"เคยไปนั่งอยู่ครั้งสองครั้งแล้วมีความรู้สึกว่าพอไปเจอคนโน้นคนนี้มันทำให้เราสับสนเปล่าๆ อีกอย่างผมไม่ได้ซื้อขายหุ้นทุกวันก็เลยไม่ค่อยอยากไปนั่ง และส่วนใหญ่เขาจะเล่นเก็งกำไรกันคนละแนวกับผม"

การหาข้อมูลของเซียนหุ้นรายนี้จะเริ่มจากการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันที่เลือกอ่านมี 2 ฉบับ ได้แก่ กรุงเทพธุรกิจและโพสต์ทูเดย์ รวมถึงเปิดอ่าน E-mail ที่ส่งข้อมูลหุ้นมาให้จากโบรกเกอร์ 5-6 แห่งที่เป็นลูกค้าอยู่ ที่ต้องเปิดบัญชีเล่นหุ้นหลายแห่งก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ส่วนจุดซื้อขายจะใช้กราฟทางเทคนิคค้นหาจังหวะ

"อยากจะบอกว่าที่ตั้งตัวมาได้จนถึงขนาดนี้ต้องขอบคุณหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เป็นแหล่งข้อมูลดิบให้ผมไปนั่งวิเคราะห์ต่อได้ อย่างการดูกราฟเวลาที่ไหนมีสัมมนาผมก็ชอบไปฟัง แล้วค่อยๆ เก็บสะสมความรู้ จากนั้นก็ซื้อหนังสือมาอ่านเองทำให้เราเริ่มมีความรู้ ผมจะใช้เทคนิคไว้ดูช่วงจังหวะเวลาในการซื้อขาย แต่ในที่สุดแล้วอยากจะบอกว่าหุ้นจะขึ้นได้ปัจจัยพื้นฐานต้องมาก่อน การซื้อหุ้นต้องเลือกที่พื้นฐาน (ดี) ก่อน กราฟ (สวย) เป็นส่วนประกอบ"

กิติชัย ยอมรับว่าพักหลังความจำแย่ลงสมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วจำหุ้นได้หมด ตัวไหนไตรมาส 1 กำไรเท่าไร ไตรมาส 2 กำไรเท่าไรยังบอกได้หมด เดี๋ยวนี้ต้องเปิดดู จนเจ้าตัวเอ่ยปากว่าสงสัยจะเป็น "อัลไซเมอร์" บางคนจำหน้าได้จำชื่อเขาไม่ได้หรือว่าใช้สมองเยอะมาตั้งแต่เด็กรึเปล่า! เจ้าตัวตั้งข้อสังเกต

"ผมมีหุ้นที่จะเล่าให้ฟังมันเป็นความประทับใจ คือ บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) มีซื้อหุ้นตัวนี้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ก่อนซื้อผมก็วิเคราะห์ว่า ตอนนั้นคนไทยประกันชีวิตแค่ 17-18% ของประชากร ขณะที่ญี่ปุ่นประกันชีวิตเกิน 100% คนญี่ปุ่น 1 คนมีมากกว่า 1 กรมธรรม์ ผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าธุรกิจนี้มันมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก นี่คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง คือ "ธุรกิจดี"

ข้อสอง "งบการเงินดี" ผมไปดูงบการเงินบริษัทนี้เก็บเบี้ยประกันชีวิตเพิ่มขึ้นตลอด กำไรก็เพิ่มขึ้นทุกปี ข้อสาม "ผู้ถือหุ้นดี" มีธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นใหญ่ 47.3% และนิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิตถือหุ้นใหญ่อันดับสอง มันเหมือน "เสือติดปีก" เพราะไทยพาณิชย์มีสาขามากที่สุด และยังได้โนว์ฮาวจากนิวยอร์คไลฟ์ซึ่งเป็นบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ตอนเกิดปัญหาซับไพร์มปี 2550 เอไอเอเกือบเจ๊งแต่นิวยอร์คไลฟ์ไม่สะเทือน เพราะนโยบายลงทุนของนิวยอร์คไลฟ์เหมือนกันทั่วโลก คือ ลงทุนเฉพาะสินทรัพย์มั่นคง ไม่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง"

"ผมไปเช็คเนื้อใน 99% บริษัทลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ที่ได้เรทติ้ง AAA คิดดูแล้วกันว่าผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำ บริษัทยังกำไรดีขนาดนี้ ตอนที่ผมซื้อราคา 70 บาท ปัจจุบันราคา 540 บาท กำไรเกือบตัว 8 เท่า ในเวลา 4 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมาราคาขึ้นไป 618 บาท ผมซื้อหุ้นตัวนี้ลงทุนไปแค่ 14 ล้านบาท ล่าสุดผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 8 จำนวน 201,100 หุ้น"

เซียนหุ้นรายนี้ทวนเหตุผลว่าทำไมถึงชอบธุรกิจ "ประกันชีวิต" ทราบหรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจประกันชีวิตคือ "ค่าคอมมิชชั่น" ที่จ่ายให้ตัวแทน บางกรมธรรม์ค่าคอมมิชชั่นปีแรกจ่ายเกือบ 50% ปีที่ 2 ลดเหลือ 25% ปีที่ 3 ลดเหลือ 12% ปีที่ 4 ลดเหลือ 6% ลดลงครึ่งๆ ทุกปี แต่คนซื้อประกันต้องจ่ายเงินเข้าบริษัทเท่าเดิมทุกปี

"รายได้ของบริษัทได้เท่าเดิมทุกปี แต่บริษัทจ่ายให้ตัวแทนลดลงทุกปี มันมีธุรกิจไหนที่ดีขนาดนี้ เสน่ห์แบบนี้มันมีแค่ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจอื่นไม่มี"

ทำไมถึงสนใจหุ้น โรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) เพราะเป็นเชนโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขากว้านซื้อหุ้นหลายๆ โรงพยาบาลเข้ามาอยู่ในเครือ เพราะฉะนั้นการสั่งซื้อยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ย่อมต้องเกิด Economy of Scale ถ้าค่ารักษาพยาบาลคิดเท่าโรงพยาบาลอื่น เขาก็ต้องมีมาร์จินที่ดีกว่า เพราะ "ต้นทุนถูกกว่า" นี่คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง

ข้อสองเขามีโรงงานผลิตยาของตัวเอง และมีห้องแล็บวินิจฉัยโรคของเขาเอง จากข่าวผู้บริหารเขามีนโยบายให้แล็บรับงานนอกได้ และตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี รายได้ส่วนนี้จะโตขึ้นจาก 2% เป็น 12% ข้อสามประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว เริ่มเข้าเมื่อปี 2548 คนอายุเกิน 60 ปี มีเกิน 10% ของประชากรทั้งประเทศ ถ้าเกิน 20% จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์แบบซึ่งไม่แน่ใจว่าปี 2563 หรือปี 2568 ยิ่งคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจประกันชีวิต แนวโน้มระยะยาวต้องดีแน่นอน และในอนาคตรัฐบาลยิ่งต้องส่งเสริมให้มีการทำประกันชีวิต เพราะถ้าไม่ส่งเสริมสุดท้ายก็จะกลับมาเป็นภาระของรัฐบาลเอง

"ผมไปดูค่า P/E เรโช อย่างตัว SCNYL และ BLA ถ้าเอากำไรสุทธิทั้งปีมาคำนวณ จะอยู่ที่ 16-17 เท่า P/E ตลาด 14-15 เท่า ในมุมมองของผม SCNYL และ BLA จะต้องมี P/E สูงกว่าตลาดเยอะต้อง 24-25 เท่า เพราะความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าตลาดเยอะ มันไม่มีเหตุผลที่ค่า P/E จะใกล้เคียงกัน หรืออย่างตัว BGH ถ้าไปดู P/E ช่วง 5 ปีย้อนหลัง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 24-25 เท่า แต่ตอนนี้เหลือ 18-19 เท่า P/E ปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งที่การเติบโตของกำไรอนาคตมีแต่จะมากขึ้น"

สำหรับหุ้น บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) กิติชัยถือหุ้นอยู่ 3,619,800 หุ้น สัดส่วน 2.13% เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 4 ของบริษัท เขาบอกความตั้งใจว่าจะถือหุ้น NBC อันดับ 2 ให้ได้ ตอนนี้อันดับ 2 (สรสรรค คูห์รัตนพิศาล) เขาถือ 6,300,000 หุ้น รอให้ราคานิ่งๆ และปรับตัวลดลงมาหน่อยค่อยเข้าไปเก็บสะสมเพิ่ม

ถามว่าเสน่ห์ของหุ้น NBC อยู่ตรงไหน เขาวิเคราะห์ให้ฟังว่า ข้อแรก ธุรกิจทีวีดาวเทียมผมถือว่าเป็นธุรกิจที่ยังใหม่สำหรับประเทศไทยมีโอกาสเติบโตสูง และความใหม่จึงเนื้อหอมมีคนอยากเข้ามาลงทุน ข้อสอง ตอนนี้คนไทยตามบ้านต่างๆ เริ่มมีจานดาวเทียมมากขึ้นดูจากยอดขายจานดำ จานเหลือง จานแดง เยอะขึ้นมาก คนไทยไม่ได้รู้จักแค่ช่องฟรีทีวี 3 5 7 9 11 อีกต่อไป ทีวีดาวเทียมเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทยมากขึ้น ข้อสาม เริ่มมีการจัดเรทติ้งความนิยมของรายการมาใช้อ้างอิงขายโฆษณาตัวนี้จะทำให้ขายโฆษณาได้ง่ายขึ้น ข้อสี่ รายได้ค่าโฆษณาของธุรกิจดาวเทียมมีโอกาสจะปรับราคาขึ้นได้อีกมาก ปัจจุบันค่าโฆษณาในฟรีทีวีกับทีวีดาวเทียมต่างกันมากกว่า 10 เท่าตัว โอกาสจะโตของรายได้จึงมีสูงมาก

"อย่าลืมว่าถ้าเพิ่มค่าโฆษณาได้ ถามว่า เนชั่น แชนแนล กับ แมงโก้ทีวี มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมั้ย! ถ้าเพิ่มก็เพิ่มไม่มาก เพราะฉะนั้นค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นมันจะแปลงมาเป็นกำไรที่จะโตได้อีกมหาศาล ตรงนี้ที่เป็นเสน่ห์ที่ผมชอบ ดูจากงบการเงินก็เห็นรายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไร ผมชอบธุรกิจอะไรที่เป็นแบบนี้ คือรายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายแทบไม่เพิ่ม อย่างธุรกิจประกันชีวิตที่รายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายลดลงเป็นต้น"

สัปดาห์หน้าติดตาม "ภาคกลยุทธ์" เจาะเทคนิคการลงทุน วิเคราะห์ข่าว-วิเคราะห์วอลุ่ม พร้อมมองเทรนด์ตลาดหุ้นปี 2554


-----------------------------
เป้าหมายพอร์ตหุ้น 1,000 ล้านบาท ปี 2556
-----------------------------

"ยิ่งสูงยิ่งหนาว" กิติชัย ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากนี้ แม้ว่าเขายังเดินไปไม่ถึงเป้าหมายปลายทางแต่ทว่าระหว่างทางนับจากนี้เขาต้องก้าวไปด้วยความระมัดระวัง ภายใต้ยุทธศาสตร์ "ยืนบน 2 ขา รักษาสมดุล"

"ผมมีความรู้สึกว่าถ้าอยากจะมั่นคงในระยะยาวควรจะยืนอยู่บน 2 ขา ทั้ง "หุ้น" และ "อสังหาริมทรัพย์" จากประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วงหุ้นตกหนัก บางปีผมขาดทุนมหาศาลก็มีเหมือนกัน ลงทุนในหุ้นมันมีได้มีเสีย ส่วนอสังหาริมทรัพย์มันไม่มีเสีย (ไม่ขาดทุน) เพียงแต่ว่ามันไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็ดีแต่สภาพคล่องมันไม่มี บางทีอยากจะขายไม่เจอคนซื้อก็ขายไม่ได้ แต่หุ้นขายง่ายยกเว้นหุ้น SCNYL ที่สภาพคล่องต่ำมากอาจจะขายครั้งเดียวไม่หมด เพราะฉะนั้นผมต้องยืนอยู่บน 2 ขานี้ตลอด"

เขาเล่าว่า สมัยก่อนเล่นเก็งกำไรเยอะแต่พักหลังเล่นเก็งกำไรน้อยลงมากพอพอร์ตใหญ่ขึ้นและเริ่มอยู่ตัว มันจะมีความรู้สึกว่าทำไมเราต้องไปเสี่ยงมากขนาดนั้น สมัยก่อนจะรู้สึกว่าอยากจะทำกำไรเยอะๆ อยากรวยเร็ว เสี่ยงแค่ไหนก็ไม่กลัว แต่พอถึงจุดนี้มีความสุขได้แล้วก็ไม่อยากจะลงทุนอะไรที่หวือหวา สไตล์มันเปลี่ยนไปเอง ถ้ามองย้อนกลับไปเวลาได้กำไรก็ได้เยอะ เวลาขาดทุนก็เจ็บหนัก

"วันนี้ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นแล้ว...!"

อย่างไรก็ตามกิติชัยก็เหนียมๆ เมื่อพูดถึงเป้าหมายพอร์ตหุ้น 1,000 ล้านบาท ต้องยิงคำถามนำเขาถึงเผยความในว่า "นั่นเป้าหมายผมเลยแหละ" เขาบอกว่าจะพยายามทำให้สำเร็จ ถ้าเป็นไปได้อีก 3 ปี (2556) น่าจะถึง ตอนนี้หลายๆ คน เริ่มมองว่าปี 2556 SET Index น่าจะทำ "จุดสูงสุดใหม่" ซึ่งเมื่อต้นปี 2537 เคยทำไว้ที่ 1,789 จุด

"อีก 3 ปีข้างหน้าหลายคนทำนายว่า SET จะขึ้นไปสูงกว่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงความฝันของผมพอร์ต 1,000 ล้านบาทก็เป็นไปได้ ปี 2556 เขาบอกว่าหุ้นจะไปเกิน 1,800 จุด" กิติชัยก็มีความเชื่อเช่นนั้น
23 ธ.ค. 53 / 15:42
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
view 3948 : discuss 26 : rating - : bookmarked 0 : vote 2 115.87.57.100

#1# - 645656 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ได้รับความรู้และแรงบันดาลใจมากเลยครับ วันหลังJaguarนำพวกbusiness model ที่ประสบความสำเร็จมาลงอีกก็ดีนะครับ เป็นประโยชน์มากๆเลย
23 ธ.ค. 53 / 16:50
0 0
ตัวละครลับ [icon smile : 92 bytes] (1351) : n/a : n/a : n/a
followup id 645656 58.11.19.118

#2# - 645658 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ขอบคุณครับ ว่าจะไปเปิดพอร์ต ซะหน่อย
23 ธ.ค. 53 / 18:20
0 0
abc123 [icon smile : 92 bytes] (6348) : [ protect email from spamware ]
followup id 645658 118.174.83.173

#3# - 645662 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] สรุปซื้อหุ้นพื้นฐานดี นั่งเก็งกำไรไป

เล่นหุ้น เเละเก็งกำไร ได้ 400 ล้านเทพจริงๆ
23 ธ.ค. 53 / 19:05
0 0
Alphatio [Full speed!!] [icon smile : 92 bytes] (3374) : [ protect email from spamware ]
followup id 645662 115.87.180.243

#4# - 645670 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] โหวต!
23 ธ.ค. 53 / 20:03
0 0
ปอเปี๊ยะไฟฟ้าสถิต [icon smile : 92 bytes] (4958) : n/a : n/a : n/a
followup id 645670 110.164.242.253

#5# - 645672 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนเล่น เล่นได้บ้างเจ๊งบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของตลาดหุ้นฮะ

ตลาดกระทิงก็เล่นง่ายหน่อย

แต่ตลาดหมีก็ดูดีๆละกันฮะ

แต่ตอนนี้พื้นฐานประเทศไทยค่อนข้างดีจริงๆฮะ

แต่ตลาดหุ้นไทยก็ระวังๆหน่อยนะฮะ Emergin market ก็ดูดีๆละกันฮะ
23 ธ.ค. 53 / 20:12
0 0
Mr. Prefer Stock [icon smile : 92 bytes] (730) : n/a : n/a : n/a
followup id 645672 125.24.57.32

#6# - 645677 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] GJS-W2

ฮ่าๆๆ
23 ธ.ค. 53 / 21:25
0 0
meed [icon smile : 92 bytes] (58) : n/a : n/a : n/a
followup id 645677 58.64.64.167

#7# - 645689 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] นี่เคสของคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ล้มเหลวน่าจะแยะกว่าครับ แหม่ถ้ามีใครเอามาเขียนมาเล่ามั่ง ก็น่าจะเป็นอุทธาหรณ์ สอนใจมือใหม่ได้เหมือนกันนะครับ
23 ธ.ค. 53 / 22:11
0 0
อีแอบหัวขาว [icon smile : 92 bytes] (3831) : n/a : n/a : n/a
followup id 645689 61.19.66.43

#8# - 645693 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ถามผู้รู้เรื่องตลาดหุ้นหน่อยครับ..ช่วงนี้ซื้อ LTF ดีมั้ยครับ?

ตอนนี้ซื้อไปแล้วครึ่งนึงของที่ลดหย่อนภาษีได้
กำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อให้เต็ม max ที่ลดหย่อนเลยดีหรือไม่..
หรือว่าเผื่อใจ อย่าไปซื้อเยอะ??? (เพราะเห็นว่าราคามันสูงแล้ว)

แล้วมี LTF ตัวไหนแนะนำมั้ยครับ??
24 ธ.ค. 53 / 02:03
0 0
-...-" [icon smile : 92 bytes] (699) : n/a : n/a : n/a
followup id 645693 115.87.138.216

#9# - 645695 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] เล่นหุ้น นี่ ผมว่า เฮง ม้ากกว่า เก่ง คร้าบบบ แต่ถ้า เก่งด้วย เฮงด้วย นี่ก้อฉุดไม่อยู่ เจง เจง
24 ธ.ค. 53 / 02:14
0 0
เกิดเป็น อาแปะ ตาเดียว ต้องมีจัยอดทน [icon smile : 92 bytes] (3386) : n/a : n/a : n/a
followup id 645695 66.91.79.165

#10# - 645698 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] โดยธรรมชาติ หุ้นจะไม่ให้ผลตอบแทนสูงขนาดนั้นครับ

ผมอ่านบทความนี้อยู่ในกรุงเทพธุรกิจ จำได้ว่าจริงๆแล้วบทความนี้ มันเป็นภาคต่อของอันก่อน

พี่แกเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งผลตอบแทนของการเก็งกำไรในธุรกิจอสังหามันมากกว่าเยอะ เนื่องจาก Leverage ในการกู้เงินมาซื้อต่อเงินดาวน์กระจึ๋งเดียว ทำให้ซื้อทรัพย์ราคามากกว่าเงินหน้าตักที่มีได้ราวๆ 10 เท่า

ส่วนที่ว่าเก่งหรือเฮง ถ้าเก็งกำไรแล้วได้เงิน ตอดเล็กตอดน้อยเอา มันอาจจะเฮง แต่หากผลตอบแทนระยะยาวมันสูงมากอย่างบัฟเฟตต์ หรือ อาจารย์นิเวศน์ มันไม่มีคำว่าเฮงอยู่ในสารบบแล้ว
24 ธ.ค. 53 / 06:55
0 0
Fresh Extra [icon smile : 92 bytes] (178) : n/a : n/a : n/a
followup id 645698 183.89.255.5

#11# - 645699 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ยุคนี้ การเลือกลงทุนในบริษัทเป็นเรี่องวิชาการ หลาบด้าน

บทความนี้ก่อให้เกิกความสงสัย ใคร่ศืกษาก็ดืใจครับ


http://sarut-homesite.net/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99/
24 ธ.ค. 53 / 08:27
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645699 124.121.101.133

#12# - 645700 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] http://sarut-homesite.net/%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-vi-%e0%b8%94%e0%b8%a3-%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%a8%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%a7%e0%b8%8a/
24 ธ.ค. 53 / 08:34
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645700 124.121.101.133

#13# - 645701 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] พี่กั้วครับ การValuation มันเหมือนจะง่ายๆ แต่เอาจริงๆมันก็ยากเหมือนกันนะครับ จะใช้สูตรเป๊ะๆมันก็กระไรอยู่นะครับ

อย่างน้อยๆ ก็ควรจะอ่านงบการเงินเป็นบ้างอะไรบ้าง

ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังมีwindow dressing เยอะนะฮะ

ถ้ามองกันจริงๆถ้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย ต้องดูดีๆเลย เพราะabnormal returnเยอะมากๆ เพราะตลาดยังไม่มีความเป็น Efficient Market จากบทความวิจัยของ ศ.ดร.อัญญา ขันธวิทย์ ที่ผมได้อ่านหนังสือมานะครับ

ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจึงมีความเป็นการพนันและจิตวิทยาอยู่ส่วนหนึ่งเลยครับอีกส่วนหนึ่งที่บ่งชี้ว่าตลาดยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะคนที่อยู่ในตลาดไม่ใช่ผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านการเงินอย่างแท้จริง จะดูได้จาก สัดส่วนการลงทุนตลาดหุ้นไทย จะมีรายย่อยเยอะที่สุด มากกว่าสถาบันการเงิน และนักลงทุนจากต่างประเทศ จึงไม่แปลกที่หลายๆครั้งราคาในหุ้นตัวตัวหนึ่งจะdistort จากความเป็นจริงไปมาก

จะต่างจากที่อเมริกา ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ที่ตลาดทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเงินส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงิน

หากต้องการรู้ทฤษฏีEMH ก็ที่นี่เลยฮะ
http://en.wikipedia.org/wiki/Efficient-market_hypothesis
24 ธ.ค. 53 / 08:38
0 0
Mr. Prefer Stock [icon smile : 92 bytes] (730) : n/a : n/a : n/a
followup id 645701 192.150.249.119

#14# - 645711 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] พอร็นี้เริ่มจาก 10 ล้านมาทครับ พุ้นพื้นฐาน ช่องซ้ายมือ คือ พศที่ลงทุน เป็นการถือยาหลายปี หลักเลขทบต้นธรรมดา

http://kanchit.212cafe.com/gallery/index.php?showimage=114589
24 ธ.ค. 53 / 16:47
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645711 124.121.101.133

#15# - 645714 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] หนื่งในหลายบริษัทวิศวกรรมของศิษย้เก่าสวนกุหสาบ นี่คือบริษัทก่อสร้างยีกษ็ใหญ่ 1 ใน 3 แห่งของประเทศ เป็นของเด็กคริสเตียนอีก อันนี้มูลค่าหลายหมื่นล้าน


http://www.ch-karnchang.co.th/investor_relation_shareholder_structure_th.php
24 ธ.ค. 53 / 17:03
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645714 124.121.101.133

#16# - 645757 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] กด Like ครับพี่
25 ธ.ค. 53 / 00:40
0 0
หนุ่มน้อยในสวนฯ [icon smile : 92 bytes] (1003) : n/a : n/a : n/a
followup id 645757 182.53.5.218

#17# - 645798 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ทำไมเราต้องคิดเรื่องการลงทุน

โลกในมุมมองของ Value Investor กันยายน 2553

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อน ในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า “KISS” แปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด

การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้

ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ “ทบต้น” ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ “สูตร 72” คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2 ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาทจะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี ดังนั้น ถ้าเรามีเวลาลงทุน 14 ปีเงินก็จะโตไปอีกเท่าตัวเป็น 4 ล้านบาท และถ้าลงทุน 21 ปี จะกลายเป็น 8 ล้านบาท ถ้าลงทุน 28 ปี ก็จะกลายเป็น 16 ล้านบาท แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการลงทุนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เรารวย

ข้อสอง ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลในโครงการเพื่อการลงทุนระยะยาวและการเกษียณอายุ ในเมืองไทยก็คือ การลงทุนในกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ทั้งสองกองทุนนั้นเราสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีของเรา ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนหรือเพิ่มเม็ดเงินที่เราออมตามอัตราภาษีที่เราจ่ายประจำปี เช่น ถ้าเราต้องจ่ายภาษีขั้นสุดท้ายที่ 20% เงินที่เราลงทุนใน RMF และ LTF ก็จะได้ภาษีคืนเท่ากับ 20% นี่เท่ากับว่ารัฐบาลช่วยเพิ่มเงินออมให้เราเท่ากับ 20% ในส่วนนี้เมื่อคิดว่ามันจะให้ผลตอบแทนทบต้นเข้าไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว เม็ดเงินที่เราจะได้ก็มหาศาลโดยไม่มีความเสี่ยง

ข้อสาม เงินออมทั้งหมดเราจะต้องเอาไปลงทุน โดยการลงทุนของเรานั้นเราจะต้อง “กระจายความเสี่ยง” ให้อยู่ในตราสารการเงินหลาย ๆ ประเภทที่เหมาะสมกับเรา เช่นต้องมีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มีกองทุนพันธบัตร และมีกองทุนหุ้น เป็นต้น โดยสัดส่วนการกระจายนั้น เราอาจจะกำหนดเป็นสูตรที่เราคิดว่าเหมาะสมกับการกล้ารับความเสี่ยงของเรา เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก เราอาจจะลงทุนในกองทุนหุ้น 70% กองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 20% และเป็นเงินฝาก 10% เป็นต้น ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะลงในหุ้นเพียง 40% อีก 50% เป็นพันธบัตร ที่เหลืออีก 10% เป็นเงินสดในธนาคารเป็นต้น ในส่วนของการเลือกกองทุนนั้น เราควรลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีที่คิดค่าจัดการกองทุนในอัตราที่ต่ำเป็นหลัก อย่าไปลงทุนในกองทุนที่พยายามสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาด เพราะสถิติบอกว่ากองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองทุนที่อิงดัชนีและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำ

ข้อสี่ เมื่อจัดพอร์ตลงทุนตามสัดส่วนการกระจายการลงทุนแล้ว ทุกสิ้นปีสัดส่วนเงินลงทุนในพอร์ตก็มักจะเปลี่ยนไปเพราะตราสารบางกลุ่มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทำให้เม็ดเงินมากเกินสัดส่วน ดังนั้น เราจะต้องจัดการ Rebalance หรือจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่โดยการขายหน่วยลงทุนส่วนที่มีผลตอบแทนมากและสัดส่วนเกินที่กำหนดในตอนต้นปี ไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีสัดส่วนน้อยลงแทนเพื่อทำให้สัดส่วนการลงทุนในแต่ละกลุ่มกลับมาอยู่ที่เดิมที่เราตั้งไว้ อย่าเปลี่ยนสัดส่วนเพราะคิดว่ากองทุนแบบหนึ่งกำลังทำผลงานดีหรือแย่กว่าที่คาด

ข้อห้า ยึดมั่นกับหลักการและวิธีการตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่โดยไม่ต้องสนใจภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน เช่นเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักอย่าขายหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังตกหรือเปล่า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่หุ้นขึ้นก็อย่าไปซื้อเพิ่ม เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันอาจจะตกก็ได้ การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น

หลักการทั้งห้าข้อนี้ ดร. เอลลิส บอกว่าเป็นแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ทำแล้วสบายใจและแทบ “ไม่ต้องดูแล” ที่สำคัญมันง่ายมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ มันต้องการ “วินัย” ที่เข้มงวด และ “อารมณ์” ที่มั่นคง สุดท้าย อาจารย์เอลลิส บอกว่า แผนการเงินนี้ควรที่จะต้องเป็นแผนร่วมของทั้งสามีและภรรยา ทั้งคู่จะต้องเข้าใจและตัดสินใจร่วมกันจึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จ และดังนั้น คำว่า KISS จึงถูกแปลใหม่ว่า Keep It Simple, Sweetheart. แผนการเงินที่ง่าย นะจ๊ะ ที่รัก

ความคิดของผมเองคิดว่า หลักการและวิธีการของโปรเฟสเซอร์ เอลลิส นั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้องของพนักงานลูกจ้างที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะศึกษาและลงทุนเอง วิธีนี้เมื่อกำหนดกลยุทธใหญ่โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารการเงินเรียบร้อยแล้วก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกยกเว้นการปรับพอร์ตในแต่ละปี แต่ผลการลงทุนและเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าหลักการนี้ดีจริงและความมั่นใจที่จะยึดกับหลักการนี้จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณจริง ๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยเราน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย และสำหรับบางคนก็อาจจะ รวยไปเลย
25 ธ.ค. 53 / 22:37
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645798 124.121.99.14

#18# - 645802 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] แจก sheet เพื่มวันหยุดครับ merrv x mas
26 ธ.ค. 53 / 05:22
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645802 124.121.11.4

#19# - 645803 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] http://sarut-homesite.net/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%97%e0%b8%a4%e0%b8%a9%e0%b8%8e/
26 ธ.ค. 53 / 05:24
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645803 124.121.11.4

#20# - 645804 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] เด็กลวนหนื่งรุ่นเรียนแหทย็ราว 120 วิศว 150 ;วิทยวศาสตร็พอๆ กับ mwit 50 เศรษฐศาสตร็ ธุรกิจราว 40

เอาประสบการณ็ของวิศวกรมาฝาก อยากเห็มว่าเเครือจตุรมิตร และเครือสวน เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย็ ครื่งหนี่ง จะได้มีแหล่งขอ sponsor ฮ่า ฮ่า


http://sarut-homesite.net/%e0%b8%94%e0%b8%a3-%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%a8%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a3/
26 ธ.ค. 53 / 05:51
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645804 124.121.11.4

#21# - 645805 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] สรุปสาเหตุความล้มเหลวในการลงทุน

http://www.siaminfobiz.com/mambo/content/view/2096/64/
26 ธ.ค. 53 / 06:07
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645805 124.121.11.4

#22# - 645841 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] เรื่องนื้มี 2 ตอน ที่นำมาลงตอนต้นกระทู้เป็นตอนที่ 2 ดูเหมือนมีผู้ติดตามเรื่องนี้อยู่ จืงขอนำสัมภาษณ็ ตอน 1 มาลงให้อ่าน เด็กเทพ ครับ
26 ธ.ค. 53 / 23:38
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645841 110.168.19.228

#23# - 645842 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ความคิดเห็นที่ 5

ขอนำเรื่องตอนเก่ามาลงและเดี๋ยวอีกกล่องสำหรับอีกตอนครับ
เพื่อให้ต่อเนื่องกัน

ยาวหน่อยแต่น่าอ่านมากครับประวัติของคนนี้

หนุ่ม หน้าหยกพกความ กล้าเดินเข้าไปขอซื้อหุ้น NINE จาก'ธนะชัย สันติชัยกูล' ซีอีโอเครือเนชั่น 3 ล้านหุ้น พร้อมแนะนำตัวในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ NBC
แม้ เขาจะกลับมามือเปล่าไม่ได้หุ้น NINE ติดมือจาก ธนะชัย สันติชัยกูล ซีอีโอเครือเนชั่นแม้แต่หุ้นเดียว เพราะไม่มีหุ้นจะขายให้พนักงานเครือเนชั่นยังได้รับสิทธิจองซื้อหุ้น NINE น้อยนิดคนละ 1,000 หุ้น (2,400 บาท) แต่หนุ่มโนเนมรายนี้ก็เป็นที่สนใจขึ้นมาทันใด

"กิ๊ด" กิติชัย เตชะงามเลิศ หนุ่มใหญ่วัยขึ้นเลข 40 ปี แต่หน้าละอ่อนราวกับ "หยก" เขามักปฏิเสธที่จะบอกอายุจริงเพราะขี้เกียจอธิบายว่ามีเคล็ดลับอะไรถึงหน้า เด็กกว่าอายุ ไม่เพียงไม่เป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนทั่วไปเขายังไม่เป็นที่รู้จักของนัก เล่นหุ้นในวงการ ทั้งที่มีฝีไม้ลายมือระดับ "เซียน"

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดกับเซียนหุ้นหน้าหยกบนคอนโดหรูส่วนตัวขนาด 194 ตารางเมตร ย่านใจกลางกรุงเทพมหานครบริเวณจุดตัดรถไฟฟ้าใต้ดินและบีทีเอส ซึ่งเขาบอกว่าทำเลตรงนี้คือ The Best Location ของประเทศไทย กิติชัยไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนักชอบนั่งเล่นหุ้นคนเดียวในคอนโดขนาด 2 ห้องนอนที่ดัดแปลงหนึ่งห้องเป็นห้องทำงาน เหตุนี้เขาจึงแทบจะไม่มีเพื่อนพ้องในวงการ แต่ถ้าวัดระดับความใหญ่ของพอร์ตแล้วพูดได้คำเดียวว่า "ไม่ธรรมดา"

กิ ติชัยเริ่มเล่นหุ้นจากเงินก้อนเล็กและเติบใหญ่จนปัจจุบันมีพอร์ตหุ้น กว่า 400 ล้านบาท ขณะที่อีกขาหนึ่งเขาเป็น "นักเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์" ตัวยงที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต้องส่งเทียบเชิญไปงานเปิดตัว คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งปัจจุบันเขามีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การครอบครองมูลค่ากว่า "ร้อยล้านบาท" ทั้งให้เช่า และซื้อเก็บไว้เก็งกำไร

ประวัติชีวิต "กิ๊ด" เด็กหนุ่มแซ่แต้ ชีวิตผกผันยิ่งกว่านิยาย ธุรกิจที่บ้านเริ่มต้นทำโรงงานทอผ้า โรงงานเสื้อยืด และค้าส่งเสื้อผ้าอยู่ย่านปทุมวัน ชีวิตวัยเด็กจัดว่ามีอันจะกิน แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คืบคลานเข้ามาและเปลี่ยนทุก สิ่งทุกอย่างไปในชั่วข้ามคืน

"ตอนผมอายุ 12 ปี ที่บ้านเกิดไฟไหม้โรงงานเสื้อยืดไหม้ทั้งที่พักและที่ค้าส่งเสื้อผ้า คุณพ่อกับคุณแม่ของผมเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้น มีผม พี่ชายและน้องสาว เรา 3 คนที่รอดชีวิต ไฟไหม้ตั้งแต่เช้ามืดช่วงตี 5 ตอนนั้นทุกคนยังเด็กกันอยู่ไม่มีใครสามารถที่จะรันธุรกิจต่อได้ ในที่สุดโรงงานทอผ้าที่ไฟไม่ไหม้ก็ขายกิจการให้กับหุ้นส่วนของพ่อไป เหลือแต่ธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าที่ยังพอทำได้ เพราะตั้งแต่เล็กๆ ก็ช่วยพ่อแม่ค้าขายอยู่แล้ว"

เซียนหุ้นรายนี้ต้องลาออกจากโรงเรียน เทพศิรินทร์ ขณะเรียนอยู่ชั้น ม. 1 เพื่อมาช่วยพี่ชายขายส่งเสื้อผ้า ชีวิตต้องช่วยเหลือตัวเอง คิดเอง และตัดสินใจเองมาตั้งแต่อายุ 12 ปี ช่วงนั้นเขาจึงไปเรียนกวดวิชาตอนกลางคืนแล้วมาสอบเทียบ ม.ปลาย

"ตอน แรกไปสอบเอ็นทรานซ์ติดคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนสอบผมติดคณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ด้วยซ้ำแต่ไม่ได้เลือกไว้ เพราะไม่มีใครแนะแนว ปีนั้นรุ่นพี่เอ็นดูผมมากเพราะเป็นคนเดียวในคณะที่เลือกคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ อันดับ 1 และผมก็สอบได้อันดับที่ 1 ของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ในปีนั้นด้วย"

แต่เข้าไปเรียนที่จุฬาฯได้แค่เทอมเดียวต้องลาออก เพราะต้องเรียนเต็มเวลาทำให้ไม่มีเวลาทำงานหาเงินช่วยทางบ้าน ตอนนั้นพี่ชายทำคนเดียวไม่ไหวก็เริ่มบ่น ในที่สุดเขาก็ไปลงเรียนที่รามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ เอกวิชาการเงินการธนาคาร ใช้เวลาเรียนเพียง 3 ปีครึ่งแถมได้ทุนเรียนฟรี 2 เทอมเพราะเรียนดี

ชีวิตเด็กหนุ่มแซ่แต้ ที่ขาดทั้งพ่อและแม่ไม่หยุดขวนขวายพอจบปริญญาตรีที่ รามฯ ก็มาสอบเรียนต่อปริญญาโท MBA ที่จุฬาฯ ปีนั้นเขาสอบติดทั้งหมด 3 มหาวิทยาลัย จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และนิด้า

"ผมสอบติดทั้ง 3 ที่เลย แต่สอบตกสัมภาษณ์ที่ธรรมศาสตร์ แต่ผ่านที่นิด้า กับจุฬาฯ ผมก็เรียน MBA พร้อมกัน 2 ที่เลย แต่เรียนไปได้แค่เทอมเดียวไม่ไหว มันเหนื่อย เรียนด้วยช่วยพี่ชายดูร้านด้วย สุดท้ายก็ตัดที่นิด้าทิ้งเพราะเดินทางไกลเลือกเรียน MBA ที่จุฬาฯ ที่เดียวใกล้บ้าน (ที่ปทุมวัน) ที่สุด ช่วงที่เรียนหนังสือผมก็เริ่มเล่นหุ้นแล้ว ถึงตอนนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว ถ้าจำไม่ผิดเริ่มเล่นหุ้นประมาณปี 2534-2535 แถวๆ นั้น"

ก่อนจะเข้า สู่ภาคของ "หุ้น" กิติชัยพาวกเข้าสู่เรื่องราวชีวิตในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก่อน ช่วงที่เรียนหนังสือเขาก็ต้องแบ่งเวลามาช่วยพี่ชายขายส่งเสื้อผ้าด้วยแต่พัก หลังธุรกิจเริ่มซบเซา สมัยก่อนค้าขายดีเพราะมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวรัสเซีย และตะวันออกกลางมาซื้อของที่ร้านไปขาย แต่พักหลังคนกลุ่มนี้ก็หายหน้าไปเลย จากการสอบถามได้ข้อมูลว่าชาวต่างชาติกลุ่มนี้ไปซื้อเสื้อผ้าที่เมืองจีนแทน แล้วแถวบ้านยังมีคนเอาสินค้าจีนมาขายตัดราคาอีก

"ผมก็คุยกับพี่ชาย ว่าผมไม่ทำแล้วนะ เพราะมองว่ามันเป็น "ซันเซ็ท" (ธุรกิจตะวันตกดิน) อีกอย่างตรงแถวปทุมวันที่ผมขายส่งเสื้อผ้า ก็มีคนมาสร้างเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่มีร้านค้ามาเปิดขายแข่งจำนวนมาก ดูแล้วไม่มีอนาคต เพราะเค้กก้อนเล็กลงแต่มีคนถือมีดบังตอมาขอหั่นมากขึ้น"

เขา วิเคราะห์ว่า หนึ่ง. ธุรกิจนี้หมดเวลาทำเงินแล้ว สอง. เค้กมันเล็กลงด้วย ตอนไปบอกว่าจะเลิกพี่ชายก็ถามว่าแล้วจะทำมาหากินอะไรกัน ก็บอกพี่ชายไปว่า "ไม่รู้" รู้แต่ว่าทำไปก็ไม่รุ่ง ไม่รู้จะทำต่อไปทำไม ช่วงที่ขายดียอดขายเยอะพอสมควรเป็น "หลักล้านบาท" ต่อเดือน แต่มาร์จินต่ำ กำไรไม่ได้เยอะ

"ตอนนั้นผมมีความคิดว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน มันเสียโอกาสเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้เงินเยอะกว่าดีกว่า ช่วงที่เลิกค้าส่งเสื้อผ้าเมื่อประมาณ 10-11 ปีที่แล้วก็มีกำไรจากหุ้นสะสมไว้พอสมควรแล้ว ระหว่างนั้นก็บอกพี่ชายว่าจะมาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ พี่ชายก็เสนอว่าขายตึกแถวไปครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งก็เก็บไว้ดีกว่า ผมก็บอกว่าถ้างั้นทำคนเดียวผมไม่ทำแล้ว พี่ชายก็บอกว่าถ้าผมไม่ทำเขาก็เลิกทำ ช่วงนั้นน้องสาวก็แต่งงานออกไป"

หลัง จากนั้นก็เริ่มเข้ามาสู่ธุรกิจ (เก็งกำไร) อสังหาริมทรัพย์ เริ่มจากเพื่อนชวนไปนั่งประมูลทรัพย์สินของกรมบังคับคดี สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วยังมีคนเข้าประมูลไม่มาก ราคาประมูล จึง "ถูกมาก" จนเห็นโอกาสเต็มไปหมด

"ถึงผมจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็ยังรู้สึกได้ เลยว่า "มันถูกมาก" ชิ้นแรกที่ประมูลได้ราคา 1.3 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวอายุกว่า 10 ปี อยู่แถวถนนพัฒนาการ ผมขายไปได้ที่ราคา 1.8 ล้านบาท กำไร 5 แสนบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนโดยไปลงประกาศขายในอินเทอร์เน็ต ผมก็มองว่าธุรกิจซื้อมาขายไปอย่างนี้ดีกว่าค้าขายเสื้อผ้าตั้งเยอะ เพราะค้าส่งเสื้อผ้ากว่าจะได้กำไร 5 แสนบาทมันเหนื่อยมาก ผมก็พุ่งเป้ามาที่ธุรกิจนี้เลย"

ต่อมาเห็นข่าวบริษัทฮาริสัน เปิดประมูลที่ดินในสนามกอล์ฟวินด์มิลล์ย่านถนนบางนา-ตราด ก็ไปประมูลมาได้ 5 แปลง แปลงละ 300-400 ตารางวา ราคาแปลงละ 7-8 ล้านบาท หรือตารางวาละ 18,000-19,000 บาท กิติชัยมองว่าราคานี้ถูกมากแม้แต่เจ้าของซีพีก็ยังอยู่ในหมู่บ้านนั้น

"ผม ขายไป 4 แปลง ยังเก็บไว้ 1 แปลง บางแปลงที่ขายกำไรน้อย บางแปลงก็กำไรเยอะ แปลงที่ขายได้ราคาแพงสุดตารางวาละ 30,000 บาท ถือไว้ 3-4 ปี แต่ระหว่างนั้นก็เข้าประมูลบ้านของกรมบังคับคดีขายมาเรื่อยๆ ผมชวนพี่ชายมาทำธุรกิจนี้เต็มตัว โดยแบ่งหน้าที่กันว่าให้พี่ชายดูแลบ้านเก่าและคอนโดมิเนียมเก่า ส่วนผมรับผิดชอบเฉพาะคอนโดมิเนียมใหม่"

เขาเล่าว่าก่อนประมูลก็ต้อง ไปดูทรัพย์สินก่อน ไปดูสภาพแวดล้อม และเช็คราคาบ้านที่ขายบริเวณใกล้เคียง สมัยก่อนกรมบังคับคดีทำแผนที่หยาบมากกว่าจะหาบ้านที่ประมูลเจอวนหาแล้วไม่ รู้กี่รอบ หน้าที่ของกิติชัยจะไปจองพวกคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ราคาไหนที่สมเหตุสมผลดูแล้วขายต่อ มีกำไรก็จะจองครั้งละหลายยูนิต ส่วนใหญ่ก็จะขายตอนที่คอนโดสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็มีบางเคสที่ขายใบจองก็มี เขาเล่ารายละเอียดบางโครงการถือใบจอง 20 กว่าวัน ทำกำไรมากกว่า 10 เท่าตัวก็เคยมาแล้ว แต่ขอร้องไม่ให้ลงตีพิมพ์

กิติชัยบอกว่า จริงๆ แล้ว โอกาสมันมีเสมอเพียงแต่ว่าคุณเห็นโอกาสนั้นรึเปล่า นอกจากเก็งกำไรซื้อมาขายไปแล้ว ยังมีให้เช่าด้วย บ้านบางหลังประมูลได้แล้วเจ้าของเดิมไม่ย้ายออกก็ต้องให้เขาเช่า ที่ประมูลมามี 3-4 เคสที่ต้องฟ้องให้เจ้าของเดิมย้ายออกเพราะไม่ยอมออกและไม่ยอมจ่ายค่าเช่า ตรงนี้ก็เป็นจุดอ่อนของการประมูลบ้านเก่า

ปัจจุบันธุรกิจนี้หากิน ยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว สมัยก่อนทรัพย์สินของกรมบังคับคดีเขาบอกว่าเป็น "บลู โอเชี่ยน" การที่คนเข้าประมูลไม่เยอะราคาก็ไม่แข่งขันกันมาก จึงได้ทรัพย์สินราคาถูก

"ปัจจุบันผมเรียกว่ามันเป็น "เรด โอเชี่ยน" คนรู้จักที่จะไปประมูลมากขึ้นจนราคาเดี๋ยวนี้ไม่ถูกแล้ว เวลาไปประมูลจะวางมัดจำ 50,000 บาท เดี๋ยวนี้มีคนบางกลุ่มพอประมูลได้ก็เอาทรัพย์ไปเร่ขาย เพราะกรมบังคับคดีให้เวลา 3 เดือนในการโอน ภายใน 3 เดือนถ้าเขาขายไม่ได้เขายอมทิ้งเงิน 50,000 บาท เขาคิดว่าถ้าฟลุคบางชิ้นกำไร 4-5 แสนบาท กลุ่มนี้จะสู้ทุกราคาเพื่อให้ได้ทรัพย์มาก็เหมือนกับการปั่นราคา ปัจจุบันนี้ไม่ถูกแล้ว"

หลักการวิเคราะห์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กิติชัยใช้ประสบการณ์เป็นหลักไม่เคยศึกษามาก่อน แต่เขารู้ว่าในย่านนี้ถ้าเป็นทาวน์เฮ้าส์ 21 ตารางวา บ้านเดี่ยว 60 ตารางวา หรือคอนโดเก่าในย่านนี้ ราคาควรอยู่ที่เท่าไร

"ผมจะใช้วิธีเลียบๆ เคียงๆ สอบถามราคาแถวนั้นที่ติดประกาศขายเราก็จะรู้ "ราคาตลาด" ในย่านนั้น แล้วก็รู้ว่าจะประมูลราคาเท่าไร สู้ได้เต็มแค่ไหน ส่วนวิธีการต่อยอดทำให้ทรัพย์สินมีราคาสูงขึ้นจะมีช่าง 2-3 ทีม เข้าไปปรับปรุง ตกแต่ง ทาสีใหม่ และทำความสะอาดให้ทรัพย์อยู่ในสภาพดีแล้วถึงจะประกาศขาย ถ้าขายตามสภาพจะขายยากเพราะบ้านที่ประมูลได้ส่วนใหญ่ค่อนข้างเก่า ผมว่าการเรียนรู้ทุกอย่างมีประสบการณ์เป็นครู"

สำหรับคอนโดมิเนียม ใหม่เขาบอกว่าจะดูง่ายเริ่มแรกต้องรู้จักทำเลที่ตั้ง และมาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายสรุปข้อมูลให้ฟัง ปัจจุบันราคาคอนโดใหม่ที่บริษัทต่างๆ ตั้งขายแทบจะเก็งกำไรไม่ได้แล้ว เมื่อ 4-5 เดือนที่แล้วแสนสิริเชิญไปงานเปิดตัวคอนโดแถวทองหล่อ ขายตารางเมตรละ 1.4 แสนบาท ถึงจะใกล้รถไฟฟ้ามากแต่ว่าทำเลทองหล่อราคานี้ถือว่า "แพง"

"ถ้า ผมจะซื้อตรงทองหล่อราคา 1.4 แสนบาท ผมซื้อคอนโด 185 ราชดำริ ของไรมอนแลนด์ดีกว่า ตารางเมตรละ 1.9-2 แสนบาท อยู่ตรงสถานทูตเขมรเก่าแล้วเป็นฟรีโฮลด์ (โครงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน) ด้วย เพราะย่านนั้นเป็นที่ดิน สนง.ทรัพย์สินฯเกือบหมด ราคาทองหล่อกับราชดำริต่างกัน 5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ถ้าจะซื้อเก็งกำไรผมซื้อแถวราชดำริดีกว่า"

ถาม ว่าไม่คิดจะเปิดบริษัททำโครงการอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองบ้างหรือ เขาบอกว่า "คงไม่ทำ" เพราะการเป็นเจ้าของโครงการมีภาระต้องรับผิดชอบมาก เป็นนักลงทุนแบบนี้เป็น "อิสระ" อยากไปไหนก็ได้

"ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาผมไปเที่ยวบ่อย ครั้งละ 15-20 วัน ปีละ 3-4 ครั้ง ถ้าตั้งบริษัทขึ้นมาชีวิตผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ผมคิดว่าการเล่นหุ้นก็เหมือนการทำธุรกิจเพราะเราคัดสรรแต่บริษัทที่ดี มีผู้บริหารที่เก่ง หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์ผมไม่ทำเอง ถ้าโครงการไหนดี ทำเลดี ราคาไม่แพง มีโอกาสทำกำไรได้ผมก็ไปจอง ชีวิตก็สบายดีแล้ว ผมไม่อยากหาเหามาใส่หัวอีก ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ผมจะ "เก็งกำไร" เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นหุ้นจะไม่ใช่"

สัปดาห์หน้าติดตามภาคของ "หุ้น" วิธีคิดของเซียนหุ้นหน้าหยก เจ้าของพอร์ต 400 ล้านบาท รับรองว่า "ไม่ธรรมดา"




โอกาสอยู่ใน 'อากาศ' อยู่ที่คุณจะเจอหรือไม่!

"ผม จะเล่าประวัติคอนโดที่ผมอยู่ให้ฟัง (ตรงจุดตัดรถไฟฟ้าใต้ดิน และ BTS) ขนาดพื้นที่ 194 ตารางเมตร เดิมห้องเก่าขนาด 100 ตารางเมตร เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้วผมรู้สึกว่ามันเล็กเกินไปหันไปทางไหนติดกำแพงหมดเลย ผมก็ประกาศขายขณะที่ยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีราคาขายตกลงไปเหลือตารางเมตรละ 40,000 กว่าบาท แต่ผมขายได้ 58,000 บาทต่อตารางเมตร เพราะตกแต่งไว้ค่อนข้างสวย"

"ผม ทำสัญญาขอเช่าอยู่ต่ออีกไม่เกิน 3 เดือน เสร็จแล้วผมไปเปิดหาในคลาสสิฟายด์ไปเจอคอนโดที่ซอยร่วมฤดี ขนาด 250 กว่าตารางเมตร ราคาถูกมากตารางเมตรละไม่ถึง 30,000 บาท พอผมซื้อมาได้ประมาณ 2 อาทิตย์ คอนโดเก่าที่ผมอยู่ก็มีคนอยากขาย ผมชินแถวนี้และมองว่าตรงที่ผมอยู่ปัจจุบันนี่แหละเป็น The Best Location ปัจจุบันจุดตัดรถไฟฟ้ามีแค่ 3 ที่ คือ หมอชิต ศาลาแดง และอโศก ตรงหมอชิตผมถือว่าอยู่นอกโซนธุรกิจ ตรงศาลาแดงก็มีผับบาร์เต็มไปหมดไม่เหมาะอยู่อาศัย"

กิติชัย เล่าว่า ขายห้องเก่าราคา 5.8 ล้านบาท (100 ตารางเมตร) ซื้อห้องใหม่ราคา 7.8 ล้านบาท ได้ห้องมุมพื้นที่เพิ่มเป็น 194 ตารางเมตร แถมซื้อได้ราคาถูกลงเหลือตารางเมตรละ 40,000 บาท ทั้งที่ช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง 2 เดือน ส่วนคอนโดที่ซอยร่วมฤดีถือไว้ 8-9 เดือน ขายไปได้กำไร 1.1 ล้านบาท เท่ากับว่าคอนโดที่อยู่ปัจจุบันเพิ่มเงินเพียงแค่ 9 แสนบาท ได้อยู่ตึกเดิมแถมได้พื้นที่เพิ่มจาก 100 ตารางเมตร เป็น 194 ตารางเมตร

"ผม จึงบอกว่าโอกาสมีอยู่เสมอ ผมเป็นคนที่ไขว่คว้าหาโอกาสไม่ได้รอให้โอกาสวิ่งมาหา ผมเห็นโอกาสจากคลาสสิฟายด์นะเปิดจากบางกอกโพสต์ กับเดอะเนชั่น ตอนนั้นโทรไปเกือบ 20 เจ้ากว่าจะเจอโอกาส แต่บางครั้งผมมีความรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ผมที่อยู่บนสวรรค์คอยดูแลช่วย เหลือ"

ปัจจุบันเขาบอกว่ามีคอนโดอยู่ในย่านสุขุมวิทหลายแห่งทั้งที่ ซื้อไว้ปล่อย เช่า และเก็บไว้เก็งกำไร ถ้ารวมอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในพอร์ตเป็นหลัก "ร้อยล้านบาท"

จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ
เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 53 07:48:09
ถูกใจ : *-==HUTCHISON==-*, "เลขาฯ ตัวแสบ!", d.hunt
26 ธ.ค. 53 / 23:44
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 645842 110.168.19.228

#24# - 646024 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] http://sarut-homesite.net/value-investing-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%99/
29 ธ.ค. 53 / 01:52
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 646024 124.121.185.16

#25# - 646025 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] อ่านประสบการณ็ครับ มี 400 ล้านเมื่อได ฝากดูแลน้องๆ และอาจารย็ด้วย

คงจะเยอะแหละ เพราะความมั้งตั่งขื้นอยู่กับเวลาในการถือหุ้น

ถ้ากำไรขยายตัวได้ปีละ 20 เปอร็เซนต็ 8-10 ปีก็รวยแล้ว

ระวังหัวใจไว้ให้ดี รวยแล้วจะมีกิ๊กเยอะ

สัปดาห์ ก่อนเราได้รู้จักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) หรือ VI ที่ทำให้ นักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) หลงรักวิธีการลงทุนแบบนี้จนหมดหัวใจ

เพราะฉะนั้น สัปดาห์นี้ เราคงต้องตามไปดูกันต่อว่า อะไรที่ทำให้นักลงทุนทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ติดหนึบแบบถอนตัวไม่ขึ้น รวมทั้งประสบการณ์และวิธีคิดของพวกเขา รับรองว่า คุณอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เต็มใจที่จะรัก VI

อนุรักษ์ บุญแสวง

‘เป็นการลงทุนที่รวยง่ายและเร็วที่สุด’

เมื่อ 9 ปีก่อนเขาเริ่มต้นประสบการณ์การลงทุนด้วย “กลยุทธ์ทางเทคนิค” ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เงินลงทุนหายไปเกือบครึ่งภายในเวลา 2 ปี

“เริ่มต้นก็เจ็บตัวเลย เลยคิดว่า การดูเพียงตัวเลข ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเทคนิคมันเป็นแค่ความน่าจะเป็น ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป”

ประกอบ กับเขาได้อ่านบทสัมภาษณ์ “ปีเตอร์ อิริค เดนนิส” นักลงทุนชาวออสเตรเลีย ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย และประทับใจคำพูดที่ว่า “หุ้นไม่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง” เลยหันมาสนใจศึกษาการวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐานอย่างจริงจัง

อย่าง ไรก็ตาม อนุรักษ์ ก็ยังมองว่า นักลงทุนที่มองด้านพื้นฐานบางครั้งก็มักลงทุนด้วยความรู้สึก ที่คิดแต่เพียงว่า หุ้นตัวนี้ดี แต่ถามว่า ดีอย่างไรก็ตอบไม่ได้ ไม่มีข้อมูลมาสนับสนุน

แล้วแนวทางที่เขาเดินก็ค่อยๆ มุ่งมาสู่ VI ที่เขาบอกว่า เป็นวิธีการที่ลึกซึ้งกว่าการดูเพียงปัจจัยพื้นฐาน

นับจากวันนั้นจนวันนี้ มูลค่าทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้น 8 เท่าตัว โดยมีกิจการที่ถืออยู่ในมือ 8-9 ตัว (แต่ให้น้ำหนักในหุ้น 5 ตัว)

” ผมเป็นลูกชาวบ้านจริงๆ เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่มีทรัพย์สินอะไร ได้เงินทุนก้อนหนึ่งมาจากการไปทำงานต่างประเทศ ก็นำมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์”

แม้ว่า ญาติพี่น้องจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขาก็ตาม เพราะ “ญาติๆ ผมมองว่า หุ้นเป็นการพนัน” แต่แล้วเขาก็พิสูจน์ให้ใครๆ เห็นว่า เขาคิดถูก

เพราะ วันนี้ในวัย 32 ปี เขาสามารถเกษียณจากงานประจำ โดยที่ไม่มีธุรกิจส่วนตัว มีเพียงรายได้จากการลงทุน และนั่นทำให้เขาเชื่อว่า การลงทุนในแบบ VI เป็นวิธีที่ทำให้รวยเร็วที่สุดและง่ายที่สุด ทั้งยังมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

“การทำธุรกิจเสี่ยง มากที่จะล้มเหลว แต่ถ้าเป็น Value Investor โอกาสรวยแทบจะ 100% แค่อาศัยเวลา เพราะมันต้องอาศัยการทบต้น ซึ่งปีแรกๆ อาจจะช้า แต่ปีหลังๆ จะเร็วมาก

“วิธีเก็งกำไร ก็รวยเร็วเหมือนกัน แต่ก็ทำให้จนเร็วด้วย โอกาสได้เยอะก็จริง แต่ก็มีโอกาสที่จะเสียเยอะด้วยเช่นกัน อย่างผมในปีที่ดีๆ อาจจะได้ผลตอบแทน 100% อย่างปีนี้ตลาดนิ่งๆ พอร์ตผมโต 50% อย่าไปเสียเวลากับหุ้นปั่นเลย”

นอกจากผลตอบแทนที่น่าพอใจแล้ว อนุรักษ์ ยังบอกอีกว่า การลงทุนแบบนี้ไม่เคยทำให้เขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เพราะ “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ต้องสนใจภาวะตลาด เพียงแต่ต้องใจเย็น เพราะถ้าไม่อดทนก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

คุณสมบัติที่มักจะมีอยู่ในตัว Value Investor ในความเห็นของ อนุรักษ์ คือ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ฟุ่มเฟือย และไม่ตามกระแส

“VI ที่เก่งๆ ทุกคนจะเห็นคุณค่าของเงิน ไม่สุรุ่ยสุร่าย แม้ว่า เขาจะมีเงินซื้อรถยนต์ราคา 10 ล้าน แต่เขาจะไม่ทำกัน เพราะคิดว่า ถ้าจะซื้อรถราคา 10 ล้านบาท นำเงินไปลงทุนดีกว่า อีกไม่กี่ปีก็เพิ่มเป็น 20 ล้านบาทแล้ว”

พร้อมกันนี้ อนุรักษ์ ยังฝากข้อคิดไว้ให้นักลงทุน ทั้งมือใหม่และมืออาชีพด้วยว่า…

” หุ้นไม่ใช่เศษกระดาษ ไม่ใช่การพนัน มันมีคนทำงาน มีกิจการจริงๆ เพราะฉะนั้นจะลงทุนในหุ้นต้องศึกษาพื้นฐานด้วย ถ้าศึกษาได้จะไม่มีใครขาดทุน แต่จะขาดทุนเพราะอยากรวยเร็ว ไปเล่นหุ้นปั่น โดยลืมไปว่า มันทำให้จนเร็วด้วย แล้วก็จะคิดว่า หุ้นเป็นการพนัน”

ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ

‘เน้นคุณค่าทั้งการลงทุนและการใช้ชีวิต’

ฉัตร ชัย เป็นนักลงทุนแบบ VI อีกคนหนึ่งที่เลือกจะเกษียณตัวเองจากงานประจำ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนจากแนวทาง VI จากหุ้นเพียงตัวเดียว ด้วยวัยเพียง 38 ปี

เขาเล่าว่า เขาเริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่สูงนัก แต่นั่นก็เป็นเงินเก็บก้อนแรกของเขา และไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก

” ผมเล่นหุ้นมาตั้งแต่สมัยยังเคาะกระดาน ก็เล่นตามข่าวบ้าง ดูกราฟบ้างเล็กๆ น้อยๆ ฟังบทวิเคราะห์บ้าง แม้จะไม่ได้ขาดทุนมากนัก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

แล้วเขาก็มาค้นพบเส้นทางเดินช่วงที่เรียน MBA และทำงานด้านการเงิน ทำให้เรียนรู้ด้านการเงิน บัญชี เศรษฐกิจ ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเขาบอกว่า นั่นเป็นโชคดีของเขา เพราะทำให้เห็นว่า ประเทศอาจจะต้องลดค่าเงินในไม่ช้า เขาตัดสินใจ “ล้างพอร์ต” เลิกเล่นหุ้น

แล้วเหตุการณ์ที่เขาคาดมันก็เกิดขึ้นจริง

เขากลับเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งในปี 2542 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดอยู่ในจุดต่ำสุด

” เห็นแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ค่าเงินบาทนิ่ง และการแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ที่คืบหน้าไปมาก เลยเข้ามาซื้อ ซึ่งบังเอิญถูกตัว”

ในตอนนั้นจะดูภาพรวมของประเทศ เป็นหลัก ประกอบกับดูว่า บริษัทที่ไม่มีหนี้ ในขณะนั้น ก็น่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง จากนั้นภาวะเศรษฐกิจก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น ในระหว่างนั้นเริ่มศึกษามากขึ้น และปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเองเรื่อยมา จนกระทั่งมาอยู่ในแนวทางของ VI

“การลงทุนแบบ VI ให้เวลากับเรา ไม่ต้องเฝ้า กลางคืนนอนหลับ เมื่อก่อนนอนไม่ได้ กลางคืนต้องมานั่งดูดัชนีดาวน์โจนส์ ดูข่าว แต่ตอนนี้ก็สนใจแต่กิจการของเรา”

และไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบการลงทุน เท่านั้นที่เป็นแบบเน้นคุณค่า แต่การใช้ชีวิตก็จะเน้นคุณค่าไปด้วย โดยใช้ชีวิตพอเพียง รู้คุณค่าการใช้เงิน ซึ่งจะตรงข้ามกับคนที่เข้ามาเล่นหุ้นแล้วหวังว่าจะรวย

“คนที่เป็น Value Investor จริงๆ จังๆ จะศึกษาธรรมะ เพราะชีวิตจะไม่ตื่นเต้น จิตใจจะสงบ และถ้าไม่มีธรรมะมายึดเหนี่ยวไว้ ก็จะอยู่ในแนวนี้ไม่ได้ เพราะ VI จะเป็นเรื่องของจิตใจมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าหลงติดบ่วงกิเลส ถูกยั่วยวนจากราคาหุ้นก็เป็นไม่ได้”

นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

‘เป็นวิธีลงทุนที่ทำให้กินอิ่มนอนหลับ’

แม้ ว่า เขาจะออกตัวว่า ศึกษาการลงทุนในแนวทางนี้มาได้เพียง 3 ปี แต่ถ้าพูดถึง “สุมาอี้” แล้ว เพื่อนพ้องน้องพี่ใน thaivi.com คงจะบอกได้ว่า เขาก็ “แม่ทัพมือหนึ่ง” เหมือนกับชื่อที่เขาเลือกใช้นั่นล่ะ

“จะให้บอกว่า การลงทุนแนว VI ดีที่สุดคงไม่ได้ เพราะมีเรื่องบุคลิกของแต่ละคนมาเกี่ยวข้องด้วย แนวในการลงทุนต้องเข้ากับบุคลิกของเรา คนที่รู้ทันจิตวิทยามวลชน อาจจะเล่นเก็งกำไรได้ดี แต่ผมเห็นหุ้นแดงจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้”

เพราะฉะนั้นสำหรับเขา… “การลงทุนแบบ VI มันเข้ากับนิสัยของผม”

” ก็เลยมาในแนว VI ดีกว่า ใจไม่หวิวมาก มันเป็นวิธีการลงทุนที่ทำให้กินอิ่มนอนหลับ เพราะถ้าเราต้องเฝ้าตลาดตลอดเวลา ต้องคอยเช็คข่าวอยู่ตลอด แม้ว่า จะได้กำไรมากก็คงไม่มีความสุข”

นอกจากกินอ่มนอนหลับแล้ว ก็คงต้องบอกว่า สำหรับเขาคงจะนอนหลับอย่างเป็นสุข เพราะผลตอบแทนที่ผ่านมาของเขา “ชนะตลาด” มาตลอด

เขา จะขอเก็บ “ตัวเลข” พอร์ตลงทุนของเขาไว้เป็นความลับ และออกตัวว่า พอร์ตเขาไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก เพราะมันเริ่มต้นมาจากเงินเก็บส่วนตัวของเขา

“ต้องใจเย็นๆ แล้วทำผลตอบแทนให้ได้ 15-20% ต่อปี ในทุกๆ ปี แล้วภายใน 20 ปี รับรองเลยว่า มูลค่าเงินลงทุนในพอร์ตจะผิดหูผิดตาไปเลย”

สันติ สิงหวังชา

‘เคยลองเล่นเก็งกำไรแล้วนอนไม่หลับ’

เขา เป็นผลผลิตจากโครงการอบรมนักลงทุนรุ่นใหม่ (New Investor Program: NIP) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เมื่อ 4 ปีก่อน

“ที่นั่นสอนทุกอย่างตั้งแต่การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค ความรู้ด้านการเงิน การบัญชี รวมทั้งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า และ พออบรมมาหมดแล้วก็ชอบแนวนี้ (VI) เพราะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า มีคนประสบความสำเร็จจำนวนมาก เลยมุ่งมาที่แนวนี้”

จาก “บัณฑิตวิศวะจุฬาฯ” หมาดๆ ในวันนั้น วันนี้เขากลายเป็นหนึ่งในนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับในกลุ่ม Value Investor รุ่นพี่ในเว็บไซต์ thaivi.com แหล่งรวมพลคนรัก VI ในชื่อ “YOYO”

” แนวคิดอย่างหนึ่งที่ผมยึดเสมอเวลาเลือกซื้อหุ้นก็คือ เลือกซื้อหุ้นเหมือนกับเลือกซื้อธุรกิจ เพราะมันก็คล้ายๆ กับการทำธุรกิจทั่วไป ดูธุรกิจที่เราเข้าใจ เรารู้เรื่อง และคาดการณ์ว่า น่าจะอนาคตดี”

กิจการที่เขาเลือกส่วนใหญ่จะเป็นการผลิต รับจ้างผลิต หรือ โรงงานให้เช่า เพราะตัวเขามีความรู้พื้นฐานด้านวิศวกรรม แต่ถ้าเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เขาจะไม่สนใจเลย

สันติ เริ่มต้นการลงทุนในตลาดหุ้นครั้งแรกด้วยเงินออมของตัวเองจำนวน 2 แสนบาท จากนั้นอีกไม่นาน เมื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า วิธีการของเขาถูกต้อง คุณแม่ “เพิ่มทุน” ให้อีก 1.5 ล้านบาท รวมแล้วก็ 1.7 ล้านบาท

วันนี้เขาอายุ 25 ปี มีทรัพย์สินที่เกิดจากการลงทุนมูลค่า 17.5 ล้านบาท

และ เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนที่เกิดจากการลงทุนของเขากับคนในครอบครัว เขาเล่าว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และถือลงทุนระยะยาวของพ่อเขาจะได้กำไรดีกว่าฝาก ธนาคารนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นการเล่นตามข่าวอย่างแม่ก็จะขาดทุน

“เห็นได้ ชัดเลยว่า VI ดีกว่า และไม่ต้องมานั่งกังวล เพราะเคยลองเล่นหุ้นเก็งกำไรเหมือนกัน เพื่อนบอกว่าดี ก็ลองซื้อตาม แต่ซื้อแล้วนอนไม่หลับ กลัวราคาลง”

ปรัชญา ฤกษ์ดีทวีทรัพย์

‘เหมือนซื้อบ้านเป็นที่อยู่ยามชรา’

แม้ จะเจ็บตัวไปสองครั้งสองคราว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ปรัชญาเข็ดขยาด ไม่ล่าถอย แต่เขากลับไปทำการบ้าน ศึกษาค้นคว้าหายุทธวิธี แล้วเขาก็กลับมาเอาชนะได้อย่างสง่างาม

เพราะครั้งนี้เขากลับมาพร้อม กับเงินลงทุนเริ่มต้น 3 แสนบาท ในวันที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 250 จุด และจนถึงวันนี้ในวัย 47 ปี เขามีชื่อติดโผ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ของหลายบริษัท

“ช่วงต้นที่ผมเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อหลายปี ก่อน มีเงินสดแค่ 3 แสนกว่าบาท แล้วก็หมดจากเหตุการณ์ของโลก แล้วออกมาทำมาค้าขาย พอมีเงินเก็บก็เข้าตลาดหุ้นอีกด้วยทุนเพียง 3 แสนกว่าๆ แล้วก็หมดตอนปิด 56 ไฟแนนซ์ เพราะสมัยก่อนเล่นหุ้นเก็งกำไร ซื้อๆ ขายๆ แต่หุ้นไฟแนนซ์”

แต่ในช่วงที่เขาหลบออกมาเลียแผลและสะสมทุน เขาไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เพราะเขาตรวจหาข้อบกพร่อง และใช้เวลาในตอนกลางคืนค้นข้อมูลบริษัทจดทะเบียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักลงทุนคนอื่นๆ ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ทำให้ได้แง่คิดมุมมองใหม่ๆ

ถึงเขาจะยังสนุกอยู่กับการลงทุนแบบเก็งกำไร (แต่ไม่ใช่การเก็งกำไรที่ไร้ทิศทางอีกแล้ว) แต่ส่วนใหญ่ของเงินลงทุนของเขาเป็นการลงทุนแบบ VI

“ส่วน 70-80% ซื้อหุ้นเหมือนฝากเงินได้ปันผลมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร… ถ้าจะเปรียบผมก็เห็นว่า พวก VI ซื้อหุ้นเหมือนการซื้อบ้าน เป็นที่อยู่อาศัยเป็นที่พึ่งยามแก่ชรา (หวังให้มันยาวมากๆ)”

และบ้านหลังนี้ก็คงจะเป็นบ้านที่ “อยู่เย็นเป็นสุข” ตามแบบของ Value Investor ที่ ปรัชญา บอกว่า เขาหลงเสน่ห์ VI ก็ตรงที่…

” เมื่อเราเลือกหุ้นตามอุตสาหกรรมที่ต้องการ ได้หุ้นที่ราคาต่ำ ผลการดำเนินงานของบริษัทดี มีกำไรคุ้มค่ากับการลงทุนเราก็ถือไว้ยาว ไม่ต้องเฝ้าราคาหุ้นทุกวันเหมือนหุ้นเก็งกำไร นอนหลับสบาย เพราะผู้บริหารมีธรรมาภิบาล มีวิสัยทัศน์และแผนการในอนาคต”

คอลัมน์ Money Tips โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 25 กันยายน 2549
29 ธ.ค. 53 / 02:11
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 646025 124.121.185.16

#26# - 646210 [icon-addtodelete : 101 bytes]
[member icon] ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลอ้างอิงทุกแหล่ง

ที่แบ่งปันความรู้ให้แก่คนรุ่นใหม่ในสวนบอร็ด

ในอนาคต

หวกเขาจะแบ่งปันความรู้ที่ได้รับในชีวิต ที่เกิดจากการเรียนรู้ในวันนี้ ปี 2553

สืบทอดให้คนไทยรุ่นหลัง ด้วยจิตใจที่เอื้ออาทร ต่อกัน
31 ธ.ค. 53 / 02:58
0 0
jaguar [icon smile : 92 bytes] (6859) : n/a : n/a : n/a
followup id 646210 110.168.40.180